*** วัตถุมงคล - เครื่องรางของขลัง ทั่วไป #พระสุปฏิปันโน ,ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ หน้า 4-5

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย adiosnkid, 5 เมษายน 2011.

  1. มหากาพย์

    มหากาพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +492
    สวัสดีครับคุณเอก

    ได้รับเบี้ยแก้เรียบร้อยแล้วครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  2. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ขอบคุณครับ :d:d:d

    <table id="post4606214" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] วันนี้, 05:20 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #80 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> ก้านมะยม
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Oct 2010
    ข้อความ: 70
    พลังการให้คะแนน: 17 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4606214" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> 13. หลวงปู่เจียม วัดอินทราสุการาม (วัดหนองยาว)
    จองครับ

    </td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px"> [​IMG] [​IMG] [​IMG] </td> <td class="alt1" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px; border-top: 0px" align="right"> [​IMG]</td></tr></tbody></table>
     
  3. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ขอบพระคุณเช่นกันครับ


    <table id="post4606277" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] วันนี้, 05:38 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #81 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> มหากาพย์ [​IMG]
    ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Jun 2010
    สถานที่: อุบลราชธานีศรีวนาลัยประเทศราช
    ข้อความ: 495
    พลังการให้คะแนน: 71 [​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4606277" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> สวัสดีครับคุณเอก

    ได้รับเบี้ยแก้เรียบร้อยแล้วครับ ขอบพระคุณมากครับ
    __________________
    บล็อกผมไปกราบหลวงปู่คำบุ คลิ๊กเลยจ้า!
    </td></tr></tbody></table>
     
  4. ก้านมะยม

    ก้านมะยม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +1,805
    จองเพิ่มครับ11.หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทานราชดำริ จ.บุรีรัมย์

    (600 บาท)
     
  5. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    33. หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย


    (3,000 บาท)

    - รูปเหมือนปี 36 (มีพระธาตุเสด็จ)
    - ไข่หินแกะ (ฟองใหญ่)
    - จระเข้
    - เต่า

    มีชุดเดียวครับ ที่มาดี (เจ้าของเดิมรับจากหลวงพ่อครับ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06463.jpg
      DSC06463.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74 KB
      เปิดดู:
      61
    • DSC06465.jpg
      DSC06465.jpg
      ขนาดไฟล์:
      91.3 KB
      เปิดดู:
      63
    • DSC06380.jpg
      DSC06380.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.3 KB
      เปิดดู:
      92
    • DSC06381.jpg
      DSC06381.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.4 KB
      เปิดดู:
      58
    • DSC06385.jpg
      DSC06385.jpg
      ขนาดไฟล์:
      103 KB
      เปิดดู:
      53
    • DSC06373.jpg
      DSC06373.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.7 KB
      เปิดดู:
      48
    • DSC06374.jpg
      DSC06374.jpg
      ขนาดไฟล์:
      60.3 KB
      เปิดดู:
      61
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2011
  6. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ขอบคุณมากครับ :d:d:d

    <table id="post4609394" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">[​IMG] วันนี้, 12:06 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #84 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> ก้านมะยม
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Oct 2010
    ข้อความ: 71
    พลังการให้คะแนน: 17 [​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4609394" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> จองเพิ่มครับ11.หลวงปู่ฤทธิ์ วัดชลประทานราชดำริ จ.บุรีรัมย์

    (600 บาท)
    </td></tr></tbody></table>
     
  7. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    34. หลวงพ่อชมวัดนางใน #1


    (คุณ KRITA ปิดครับ)


    - รูปหล่อหลวงพ่อชม วัดนางใน (มีพระธาตุเสด็จ)

    และในการปลุกเศกของ - หลวงพ่อชม วัดนางใน ก็ได้เห็นการเสกที่สามารถเปลี่ยนนัยน์ตาเป็นสีฟ้าได้ ซึ่งการเสกแบบนี้ในอดีตที่ตัวคุณสุธันย์เคยเห็น ก็มีแต่ - ครูบาพรหมจักรสังวรณ์ วัดพระพุทธบาทตากผ้า องค์เดียวเท่านั้นเอง….

    (ตัดมาจากประวัติการสร้างเหรียญพระพุทธชนะมาร)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06473.jpg
      DSC06473.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.8 KB
      เปิดดู:
      56
    • DSC06474.jpg
      DSC06474.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.8 KB
      เปิดดู:
      56
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2011
  8. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    35. หลวงพ่อชมวัดนางใน #2


    (คุณ KRITA ปิดครับ)

    - รูปหล่อหลวงพ่อชม วัดนางใน (มีพระธาตุเสด็จ)

    และในการปลุกเศกของ - หลวงพ่อชม วัดนางใน ก็ได้เห็นการเสกที่สามารถเปลี่ยนนัยน์ตาเป็นสีฟ้าได้ ซึ่งการเสกแบบนี้ในอดีตที่ตัวคุณสุธันย์เคยเห็น ก็มีแต่ - ครูบาพรหมจักรสังวรณ์ วัดพระพุทธบาทตากผ้า องค์เดียวเท่านั้นเอง….

    (ตัดมาจากประวัติการสร้างเหรียญพระพุทธชนะมาร)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06475.jpg
      DSC06475.jpg
      ขนาดไฟล์:
      65.9 KB
      เปิดดู:
      126
    • DSC06476.jpg
      DSC06476.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.8 KB
      เปิดดู:
      135
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2011
  9. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    [​IMG]

    ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่คำดี ปภาโส

    วัดถ้ำผาปู่นิมิตร (วัดถ้ำผาปู่)
    ต.นาอ้อ อ.เมือง จ.เลย



    ๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย

    “พระครูญาณทัสสี” หรือ “หลวงปู่คำดี ปภาโส” มีนามเดิมว่า คำดี นินเขียว เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๔๕ ตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีขาล ณ บ้านหนองคู ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายพร และนางหมอก นินเขียว ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน เป็นชาย ๓ คน หญิง ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนที่ ๒

    หลวงปู่คำดีเมื่อเป็นเด็กท่านไม่ได้เข้าโรงเรียน เพราะสมัยนั้นตามชนบทบ้านนอกไม่มีโรงเรียน ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว โดยเข้าเรียนโรงเรียนผู้ใหญ่จบชั้นประถมปีที่ ๔ บริบูรณ์ ในสมัยที่ท่านยังเป็นเด็ก เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและมีจิตใจเลื่อมใสในทางพระพุทธศาสนาตลอดมา ท่านนึกอยากจะบวชมาตลอด เมื่ออายุพอบวชเป็นสามเณรได้ ท่านขออนุญาตโยมบิดา-โยมมารดาบวช แต่ไม่ได้รับอนุญาต กลับบอกว่า เอาไว้อายุครบบวชเป็นพระแล้วค่อยบวชทีเดียวเลย เพราะตอนนี้ทางบ้านกำลังต้องการให้อยู่ช่วยทำงานก่อน ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วยความอดทนมาตลอด

    จนกระทั่งอายุครบ ๒๒ ปีบริบูรณ์ จึงได้ขออนุญาตโยมบิดา-โยมมารดาของท่านบวชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จึงยินดีอนุญาตให้ท่านบวชได้ตามต้องการ ท่านดีใจมากเพราะสมใจที่คิดไว้ ท่านพูดว่าสมัยท่านเป็นเด็กมองเห็นภูเขาเขียวๆ ที่ใกล้บ้านท่าน เป็นสถานที่ที่เหมือนว่าเคยอาศัยอยู่มาแต่ก่อนแล้ว และคิดว่าบวชครั้งนี้แล้ว คงจะได้ไปอยู่อาศัยทำความเพียรแน่ เกิดความปuติ และเกิดความชื่นใจตลอดเวลา


    ๏ ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรม และปฏิปทา

    หลวงปู่คำดี ปภาโส ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ฝ่ายมหานิกาย ณ พัทธสีมาวัดหนองแวง บ้านเมืองเก่า ตำบลพระลับ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยมีพระครูเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์ชานุหลิด เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านไปจำพรรษาอยู่ที่บ้านหนองคู ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น กับพระอาจารย์ของท่าน ต่อมาไม่นานพระอาจารย์ได้ลาสิกขาจากท่านไป ท่านจึงต้องทำหน้าที่เป็นสมภารวัดแทน ท่านได้บวชอยู่ ๔ พรรษา ในระหว่างที่บวชอยู่นั้นไม่มีความยินดีและพอใจในความเป็นอยู่ เพราะท่านได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการบวชตามพระเพณีเช่นนี้คงจะไม่ใช่ทางพ้น ทุกข์ ถ้าฝึกบวชและจำพรรษาอยู่อย่างนี้แล้วคงขาดทุนในการบวชแน่นอน เพราะเป็นการอยู่ด้วยความประมาททั้งวันทั้งคืนอยู่ตลอดเวลา เมื่อท่านพิจารณาเห็นโทษในความเป็นอยู่ ท่านจึงคิดอยากที่จะไปธุดงคกรรมฐานปฏิบัติภาวนาให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้

    การจะออกธุดงคกรรมฐาน ท่านมีความตั้งใจตั้งแต่ครั้งยังเป็นพระฝ่ายมหานิกายอยู่ โดยครั้งหนึ่งท่านเคยพาสามเณรออกไปนั่งกรรมฐานที่ป่าช้า ท่านเล่าว่า วันหนึ่งมีคนตายใหม่เพิ่งเอาไปเผาเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ท่านไปกับสามเณรเพียง ๒ รูป ครั้นถึงป่าช้าท่านกับสามเณรแยกกัน ท่านไปอยู่ที่โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง การภาวนาของท่านครั้งนั้นยังไม่มีครูบาอาจารย์สอน ท่านได้ศึกษาตามแบบแผนที่ท่านอ่านพบ และปฏิบัติภาวนาตามคือให้บริกรรมพุทโธ ท่านภาวนาไปสักพัก ทำให้เกิดจิตว่างจากความนึกคิด กายก็ปรากฏว่าหายไปหมด มีสติกับความรู้อยู่เฉย มีแต่ความสุขใจ ท่านนั่งภาวนาประมาณ ๓ ชั่วโมงจิตจึงถอนออก

    จากพรรษาที่ ๑-๒-๓ ผ่านไป มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่คำดีมีความสงสัยเรื่องพระนั่งหลับตามาก จึงเข้าไปถามพระอาจารย์ ท่านตอบว่า “นั่นท่านนั่งภาวนา เรียกว่านั่งกรรมฐาน เป็นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านเดินธุดงค์ไปตามป่าเขา อยู่ในถ้ำบำเพ็ญเพียรของท่าน”

    ความนึกคิดและความรู้ใหม่ๆ นี้ ทำให้หลวงปู่คำดีสนใจมากเป็นพิเศษ ได้เก็บความรู้สึกนอนเนื่องในหัวใจตั้งแต่บัดนั้นมา ไม่เคยลืม แม้จะศึกษาทางด้านปริยัติธรรม สวดมนต์ทำวัตรโดยปกติก็ตาม

    ต่อมาพรรษาที่ ๔ หลวงปู่คำดีเกิดเบื่อหน่ายในการศึกษาพระธรรมวินัยตามที่เคยเรียนรู้อยู่ ท่านจึงมาพิจารณาเองว่า การบวชของเรานี้ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารเลย คงเป็นการบวชตามประเพณีอย่างที่เขาบวชกันเฉยๆ นั่นเอง แต่ถ้าเราได้ออกเดินธุดงค์เหมือนอย่างพระมาปักกลดข้างๆ วัด เราก็จะมีประโยชน์มาก อีกทั้งยังได้ประสบการณ์ที่เราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกด้วย ถ้ายังเป็นอยู่เช่นนี้คงไม่เป็นเพื่อพ้นทุกข์เสียแล้ว

    เมื่อคิดได้ดังนั้น ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานไปว่า “ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้ายังดำเนินชีวิตอยู่เช่นนี้ เห็นทีจะต้องลาสิกขาออกไปใช้ชีวิตภายนอกแน่นอน แต่ถ้าแม้ว่าข้าพเจ้าสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมตามเยี่ยงองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า คือ ทางพ้นทุกข์ดังเช่นพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ที่เดินธุดงค์มาปักกลดเมื่อไม่นานมานี้แล้ว ก็ขอให้พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโปรดสั่งสอนแนะแนวทางแก่ข้าพเจ้าภายในสองวันนี้ด้วยเถิด”
    หลังจากหลวงปู่ได้อธิษฐานแล้ว ๒ วัน ก็ปรากฏพระกรรมฐานเดินธุดงค์ผ่านมา และพักตรงบริเวณใต้ต้นไม้ใกล้ๆ วัด ที่เดียวกับพระธุดงค์ชุดก่อน ท่านมานึกถึงคำอธิษฐานได้ก็แสนจะดีใจ รีบหาน้ำฝนที่สะอาดไปถวาย ซึ่งในครั้งนี้มากันหลายองค์กระจายกันพักเป็นจุดๆ ไป เมื่อหลวงปู่ถวายน้ำแล้วได้กราบเรียนถามตามที่ตนสงสัยนั้นว่า “นี่พระคุณเจ้ามาจากไหน และจะเดินทางไปที่ใดครับกระผม”

    พระธุดงค์ตอบว่า “พวกผมพากันเดินธุดงค์จะขึ้นเขา แต่นี่ผ่านมาจึงแวะพักเหนื่อย” หลวงปู่คำดีถามว่า “การเดินธุดงค์นี้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์สิ่งใดครับกระผม” พระธุดงค์ตอบว่า “เพื่อความวิเวกเพื่อหาความสงบและเพื่อโมกขธรรมคือความพ้นทุกข์” หลวงปู่คำดีนิ่งคิด เพราะเรื่องนี้เคยได้ถามพระอาจารย์มาแล้ว ท่านว่าหาทางพ้นทุกข์เหมือนกัน ท่านยิ่งเกิดความปีติยินดีในปฏิปทาของพระธุดงค์เหล่านั้นมาก ท่านมีความศรัทธาในอิริยาบถต่างๆ ที่พระธุดงค์แสดงออกมาให้เห็น

    ท่านจึงออกปากพูดไปว่า “กระผมมีความสนใจมานาน พระคุณเจ้าจะรังเกียจหรือไม่ถ้ากระผมจะขอติดตามเดินธุดงค์ไปด้วย เพื่อพระคุณเจ้าจะได้อบรมสั่งสอนให้กระผมได้มีความรู้ความเข้าใจตามแนวทาง ปฏิบัติอย่างที่พระคุณเจ้ากระทำอยู่” พระธุดงค์จึงถามว่า “ท่านเป็นพระมหานิกายหรือธรรมยุต”

    หลวงปู่คำดีตอบว่า “กระผมเป็นพระมหานิกายครับกระผม”

    พระธุดงค์พูดว่า “ท่านเป็นพระมหานิกายไปกับพวกผมไม่ได้ เพราะบางสิ่งบางอย่างหลักธรรมวินัยเข้ากันไม่ได้ หมายถึงไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพิธีการต่างๆ พวกผมไม่ได้รังเกียจท่านหรอก แต่ทางที่ดีถ้าท่านอยากไปเดินธุดงค์กับพวกผมจริงๆ แล้ว ขอให้ท่านไปญัตติใหม่เป็นธรรมยุตเสียก่อน จึงจะไปกับพวกผมได้ เอาละพวกผมก็พักเป็นเวลาสมควรแล้ว จะต้องรีบเดินธุดงค์ต่อไป”

    หลังจากที่พระธุดงค์ชุดดังกล่าวจากไปแล้ว หลวงปู่มีความอึดอัดใจเพราะว่าพระธุดงค์บอกว่าถ้าจะร่วมไปกับท่านจริงต้องไป ญัตติเป็นธรรมยุตก่อน ส่วนเราหรือก็ได้รับความเมตตาพระอาจารย์ ตลอดจนญาติโยมมากมาย แต่ใจหลวงปู่ก็ไม่อยากทิ้งความพยายามที่จะออกธุดงค์ ท่านรุ่มร้อนจิตใจจนทนไม่ได้ จึงอยากจะกราบพระอาจารย์ขออนุญาตลาไปญัตติใหม่ ถ้าท่านเมตตาเราแล้วท่านคงไม่ขัดขวาง ต้องยินดีกับการดำเนินชีวิตที่ดีที่ชอบของลูกศิษย์อย่างแน่นอน เพราะการเดินธุดงค์เป็นไปเพื่อหาทางพ้นเสียจากทุกข์ พระอาจารย์คงจะอนุโมทนากับเรา จึงได้หาโอกาสในวันหนึ่งเข้านมัสการพระอาจารย์เพื่อขอลาญัตติใหม่

    เมื่อเข้ามาถึงตรงหน้าแล้วพระอาจารย์ถามว่า “มีธุระอะไรหรือ” หลวงปู่ตอบไปว่า “กระผมมีปัญหาอยู่ว่า กระผมมีความประสงค์ที่จะออกธุดงค์ แต่ในการเดินธุดงค์นั้น กระผมได้รับคำแนะนำว่า ให้ไปแปรนิกายใหม่เป็นธรรมยุต กระผมจึงมีความอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง พระอาจารย์เห็นเป็นการสมควรประการใดครับกระผม”

    พระอาจารย์ตอบว่า “ผู้เป็นพระคณาจารย์ใหญ่ในขณะนี้ท่านเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุต เป็นพระอาจารย์ปฏิบัติกรรมฐาน มีความสามารถเป็นยอด ท่านได้อบรมสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ให้ประพฤติปฏิบัติแนวทางพ้นทุกข์ จนสามารถมีดวงตาเห็นธรรมกันมากมี ถ้าแม้ว่าเป็นวาสนาของท่านคำดีแล้ว ควรจะรีบเร่งขวนขวายในขณะครูบาอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ จงไปดีนะ และขอให้ตั้งใจค้นคว้าหาสัจธรรมอันล้ำเลิศอันเป็นทางพ้นทุกข์ได้จริงแท้แน่ นอน เป็นหนทางเอกของท่านคำดีแล้ว ขออนุโมทนาให้กุศลผลแห่งภาวนามัยนี้ด้วย ขอให้พบธรรม”

    หลวงปู่คำดีแสนตื้นตันใจน้ำตาเอ่อนอนด้วยความปีติ นี่แหละหนอครูบาอาจารย์ผู้ประเสริฐ ผู้อยากเห็นศิษย์ได้ดีมีวิชชาต่อไปในอนาคต ท่านย่อมส่งเสริมเช่นนี้เสมอ หลวงปู่คำดีได้ลาพระอาจารย์แล้ว ยังคิดถึงโยมอุปัฏฐาก ท่านจึงได้บอกข่าวและมาประชุมกัน เพื่อขอลาเดินธุดงค์และจะเรียนรู้ในการแปรญัตติเป็นธรรมยุตด้วย

    หลังจากที่หลวงปู่คำดีได้ยินคำอธิบายจากพระธุดงค์ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านก็บอกคณะศรัทธาญาติโยมให้เตรียมบริขารที่จะไปทำการญัตติใหม่ ไม่กี่วันการเตรียมบริขารก็เสร็จเรียบร้อย จึงลาคณะศรัทธาญาติโยมเพื่อไปญัตติเป็นพระธรรมยุต คณะศรัทธาญาติโยมต่างก็อนุโมทนาทุกคน ท่านจึงออกเดินทางจากวัดหนองคู ซึ่งเป็นบ้านเกิดไปเมืองขอนแก่น ขออนุญาตเข้าพบ พระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.ธ. ๓) เจ้าคณะธรรมยุตจังหวัดขอนแก่น และเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์ (วัดศรีจันทราวาส) ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น และนมัสการกราบเรียนให้ท่านช่วยญัตติเป็นพระธรรมยุต ท่านก็รับไว้ด้วยความเมตตา และพักจำพรรษาอยู่ที่วัดศรีจันทร์ (วัดศรีจันทราวาส) แห่งนี้จนกระทั่งหลวงปู่คำดีได้ฝึกหัดอ่านอักขระฐานกรณ์จากพระอาจารย์ได้ เรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง ท่านจึงได้อนุญาตให้ญัตติได้เมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ตรงกับวันพุธ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง เวลา ๑๓.๓๐ น. เป็นอันเสร็จพิธี โดยมีพระครูพิศาลอรัญญเขต (จันทร์ เขมิโย ป.ธ. ๓) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระปลัดสังข์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมชาย เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ท่านจำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ครั้งแรกท่านอยู่องค์เดียว อาศัยคณะศรัทธาญาติโยมชาวบ้านหาร้านที่พักให้ชั่วคราว ต่อมามีหมู่คณะไปด้วยมีพระ ๓ รูป ตาปะขาว ๑ คน ถ้ำกวางนี้เป็นสถานที่ที่มีป่าทึบห่างไกลจากหมู่บ้านประมาณ ๒ กิโลเมตร ก่อนที่ท่านจะมาถ้ำกวางนี้ท่านมุ่งมั่นทำความเพียรอย่างเดียว ยอมสละชีพเพื่อพรหมจรรย์ เพื่อมรรคผลนิพพาน ท่านได้ตั้งสัจจะอธิษฐานอยู่จำพรรษาที่ถ้ำกวางนี้ ๕ พรรษา ถ้าหากจะมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้น ท่านก็จะไม่ยอมหนีให้เสียสัจจะโดยเด็ดขาด การจำพรรษาที่นี่ท่านได้ปฏิบัติภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตาย

    จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ท่านได้ป่วยเป็นไข้มาลาเรียอย่างหนัก แม้แต่หมู่คณะของท่านทุกรูปก็เป็น ไม่มีใครดูแลกันได้เลย ได้อาศัยชาวบ้านหินร่องมาช่วยอุปัฏฐากดูแล ต่อมาพระ ๒ รูปมรณภาพและตาปะขาว ๑ คนได้ตายจากไป ส่วนพระที่ยังไม่มรณภาพต่างก็หนีไปที่ต่างๆ ไม่มีใครกล้าอยู่เพราะกลัวไข้มาลาเรียกัน สำหรับหลวงปู่คำดีได้มีคณะศรัทธาญาติโยมมาอ้อนวอนให้หนี แต่หลวงปู่อธิษฐานไว้แล้ว ท่านอยู่ของท่านรูปเดียวตลอดฤดูแล้ง พอจวนจะเข้าพรรษา มีพระไปร่วมจำพรรษาอีก ๔ รูป ตาปะขาว ๑ คน คือ พระอ่อน หลวงตาสีดา หลวงตาช่วง และตาปะขาวบัว (หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดราษฎรสงเคราะห์หรือวัดป่าหนองแซง ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี) ได้ร่วมกับเพื่อนพระด้วยกันปฏิบัติภาวนาจนกระทั่งออกพรรษา

    ในขณะที่อยู่ถ้ำกวาง บ้านหินร่อง จังหวัดขอนแก่น กลางฤดูแล้งปี พ.ศ. ๒๔๘๔ คิดอยากจะไปวิเวกที่ “ภูแก้ว” ซึ่งขณะนั้นไข้มาลาเรียยังไม่หายดี ก่อนไปคิดเสียสละตัดสินใจไป หากจะเป็นอย่างไรก็ยอมเป็น จะหายก็หาย จะตายก็ตาย ตัดสินใจอย่างนั้น ก็เล่าให้ลูกศิษย์ซึ่งเป็นไข้เหมือนกันฟัง

    “ผมจะไปภูแก้ว ท่านจะไปด้วยไหม ถ้าผมไปผมยอมสละชีพได้น่ะ จะหายก็หาย จะตายก็ตาย หากถึงภูแก้วแล้ว ถ้าลงบิณฑบาตไม่ได้ ผมก็ไม่ลง หากชาวบ้านเขาไม่เอาอาหารมาส่งผมก็ไม่ฉัน”

    โสสุด (ตั้งใจแน่นอน) อย่างนี้ก็ตกลงไปด้วยกัน หลวงปู่เป็นนักต่อสู้ผู้ล้ำเลิศจริงจังต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นยอด ถึงแม้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ไม่เคยคิดเดือดร้อน ท่านถือว่าถ้าไม่ได้ธรรมแล้วขอยอมตาย สัจจวาจาที่ตั้งไว้บังเกิดผลได้

    หลวงปู่คำดีไปอยู่ในถ้ำกวางแต่ละครั้ง ก็ล้มป่วยถูกชาวบ้านหามลงมาทุกครั้ง ท่านอธิษฐานอยู่ ๕ ปี ก็ต้องถูกหามลงมาทุกปีเหมือนกัน แต่อาศัยความเพียรเป็นเลิศ มุ่งตรงทางเอกปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไม่มีอะไรจะเปลี่ยนจิตใจท่านได้ แม้สุขภาพไม่สมบูรณ์นักก็ตาม ความขยันในการประพฤติปฏิบัติภาวนาหลวงปู่ไม่เคยทอดทิ้งละเลย แม้ยามเจ็บป่วยหลวงปู่ยังมีสติพร้อมมูล มุ่งหวังธรรมะด้วยการเอาชีวิตเข้าแลก

    ปฏิปทาในการปฏิบัติของท่านๆ เอาความตายเข้าสู้ บางวันเดินจงกรมตลอดถึงมืดก็มี บางครั้งนั่งสมาธิตลอดคืน บางวันเดินจงกรมตลอดวันอีก การปฏิบัติของท่านปฏิบัติแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่ห่วงแม้แต่เรื่องการอาบน้ำ แม้เหงื่อจะไหลชุ่มโชกก็ตาม ท่านบอกว่าเหงื่อไหลตามตัวไม่เป็นไรแต่ใจมันเย็นชุมฉ่ำตลอดเวลา จึงไม่เกิดความรำคาญ ลูกศิษย์ที่ศึกษาปฏิบัติภาวนากับท่านกราบเรียนถามท่านอีกว่า “ท่านอาจารย์ กระผมเห็นท่านปฏิบัติภาวนาตลอดวันตลอดคืน ไม่ทราบว่าท่านเอาเวลาไหนนอน” ท่านตอบว่า “จิตมันพักอยู่ในตัวนอนอยู่ในตัว มีความยินดีและเพลิดเพลินในการปฏิบัติภาวนา จึงไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่ง่วงนอน”

    ในระหว่างที่ท่านวิเวกภาวนาอยู่ที่เขาตะกุดรังนั้น ท่านได้ถือสัจจะอันหนึ่ง คือ ท่านถือสัจจะฉันผลไม้แทนข้าวและอาหารสับเปลี่ยนกันไป คือ ฉันกล้วย มะพร้าว มัน เผือก น้ำอ้อย น้ำตาล ๕ วัน แล้วจึงกลับไปฉันอาหาร-หวาน ๓ วัน สลับกันเช่นนี้ตลอด เวลาขณะที่ท่านออกธุดงค์ประมาณ ๓-๔ เดือน ใน ระหว่างที่เร่งความเพียรอยู่นั้น ท่านพูดแต่น้อย ไม่มีเรื่องจำเป็นท่านไม่พูด คือ ท่านพยายามฝึกสติ ไม่ให้เผลอออกจากกายและใจไปทุกๆ อิริยาบถ ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน

    ท่านมีความเพียรพยายามจนจิตของท่านได้สมาธิใหม่สมความประสงค์ของท่าน จิตของท่านรวมอยู่เป็นวันเป็นคืนก็ได้ ขณะที่จิตของท่านได้กำลังเช่นนี้ ท่านได้พิจารณาธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดทั้งอาการ ๓๒ ก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้เพียรพยายามพิจารณาทะลุเข้าไปถึงเวทนาทั้ง ๓ ตลอดไปถึงสิ่งต่างๆ ก็เห็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านได้พิจารณาไปจนกระทั่งจิตแสดงความบริสุทธิ์ของจิตให้เห็นอย่างชัดเจน ขณะนี้แสดงว่า จิตของท่านได้ผ่านไตรลักษณ์ไปแล้ว

    ครั้งหนึ่งเป็นฤดูแล้ง ตรงกับเดือน ๓ แรม ๓ ค่ำ ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้ยินเสียงใบพลวงหล่นดังตั้งติ้งๆ ขณะที่หลวงปู่คำดีเดินจงกรมอยู่นั้นประมาณ ๓ ทุ่ม สมัยนั้นใช้เทียนไขตั้งไว้ตรงกลางโคมผ้าที่ทำเป็นรูปทรงกลม เจาะรูมันก็สว่างดี ลมพัดไฟก็ไม่ดับ มองไกลๆ เห็นแดงร่า ทางจงกรมสูงขึ้นไปจากพื้นประมาณ ๒ เมตร เงียบสงัดดี ได้ยินแต่เสียงใบพลวงตกดังตั้งติ้งๆ ทันใดนั้นได้ยินเสียงสัตว์ขู่ ได้ยินเสียงขู่ครั้งแรก สงสัยเสียงอะไรแปลกๆ ใจมันบอกว่า “เสือ” แต่ก็ยังไม่แน่ใจ จึงเดินกำหนดจิตกลับไปกลับมาที่ทางจงกรมอยู่อย่างนั้น มันขู่ครั้งที่สอง นี่ชัดเสียแล้ว มันดังชัด “อา..อา..อา..อา !” เสียงหายใจดังโครกคราก ไกลออกไปประมาณ ๑๐ เมตร ไม่นานนักได้ยินเสียงขู่คำรามอีก มาอยู่ใกล้ๆ ทางจงกรม แหงนหน้าขึ้นดู แล้วขู่ อา..อา..อา..อากลัวแสนกลัว ยืนอยู่กับที่

    เผลอไปพักหนึ่ง จิตมันจึงบอกว่า “กรรม” พอจิตมันแสดงความผุดขึ้นในใจว่า “กรรม” ก็มีสติดีขึ้น ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์ พอ ระลึกได้แล้ว มีสติปกติ จึงได้พูดกับมันว่า ถ้าเราเคยทำกรรมทำเวรต่อกัน ถ้าจะขึ้นมากินข้าพเจ้าจงขึ้นมากินเถิด ถ้าเราไม่เคยทำเวรทำกรรมต่อกัน ก็จงหนีเสีย เรามาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยรบกวนใคร ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ว่าสัตว์ตัวเล็กและสัตว์ตัวใหญ่ เรามาที่นี่เพื่อมาปฏิบัติบำเพ็ญสมณธรรมเท่านั้น พอระลึกได้จิตตั้งมั่นแล้ว หายกลัว ความกลัวหายหมดเลย ไม่มีความกลัว เกิดความเมตตา รักมัน ฉวยโคมได้ออกตามหามันทันที ถ้าพบแล้วจะไม่มีความกลับ ไม่ว่าจะเป็นเสือเล็กหรือเสือใหญ่ สามารถจะเข้าลูบหลังและขี่หลังมันได้

    อีกครั้งหนึ่งหน้าแล้งปี พ.ศ. ๒๕๒๔ ท่านได้เดินทางไป วัดบ้านเหล่านาดี (วัดป่าอรัญวาสี) บ้านเหล่านาดี ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน เพื่อเป็นประธานสร้างกุฏิที่ญาติโยมเขามีศรัทธาที่จะสร้างเป็นอนุสรณ์ในด้าน วัตถุถาวรไว้ แต่ท่านไม่รู้สึกยินดี เพราะท่านชอบสันโดษ ไม่มีนิสัยชอบก่อสร้าง ส่วนที่เห็นว่าทางวัดมีการสร้างสิ่งต่างๆ ส่วนมากเป็นศรัทธามาสร้างถวาย ท่านก็ไม่ขัดศรัทธา

    การก่อสร้างกุฏิที่วัดนี้ก็เช่นเดียวกัน มีศรัทธา ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งต้องการก่อสร้าง อีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการสร้างไม่เป็นที่ตกลงกัน ฝ่ายที่ต้องการสร้างไม่ฟังเสียงคัดค้านได้ดำเนินการก่อสร้างไปเลย เมื่อรีบเตรียมหาวัสดุก่อสร้าง พวกที่คัดค้านก็หาเรื่องคัดค้านฟ้องร้องกัน หาว่าทำผิดกฎหมายบ้านเมืองให้เจ้าหน้าที่มาจับ

    พอออกพรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ท่านกลับไปวัดบ้านเหล่านาดี อีกครั้ง พอดีกับการก่อสร้างเสร็จ ทางญาติโยมที่มีจิตศรัทธาก็ได้ทำบุญถวายกุฏิเป็นที่เรียบร้อย

    ในปีนั้น พวกโยมที่คัดค้านการก่อสร้างกุฏิ และกลั่นแกล้ง พูดจาก้าวร้าวท่านต่างๆ นานับประการนั้น คนที่เป็นหัวหน้าเกิดอาเจียนเป็นเลือดตาย ส่วนอีกคนหนึ่งนอนหลับตาย พวกญาติๆ ของฝ่ายคัดค้านเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็กลัวกันมาก เกรงว่าบาปกรรมที่พวกตนทำไว้กับพระสงฆ์จะตกสนองเช่นเดียวกับสองคนแรก จึงพากันไปกราบนมัสการขอขมาโทษจากท่านๆ จึงเทศน์ให้ฟังว่า

    “เรื่องเป็นเรื่องตายไม่ใช่เรื่องของอาตมา เป็นเรื่องของพวกเขาต่างหาก เป็นเพราะใครทำกรรมอย่างใดก็ได้รับผลของกรรมอย่างนั้น ส่วนพวกเจ้าทำกันเองพวกเจ้าคงจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร” แล้วท่านก็ให้พากันทำคารวะสงฆ์ หลวงปู่พร้อมด้วยสงฆ์ก็ให้ศีลให้พร และท่านได้เทศน์ให้สติเตือนใจอีกว่า

    “นี่แหละ การเบียดเบียนท่านผู้มีศีลย่อมได้รับกรรมทันตา เห็นจะหาว่าไม่มีบาปมีบุญที่ไหนได้ ศาสนามีทั้งคุณและโทษ ถ้าผู้ปฏิบัติดีก็นำพาจิตใจคนเหล่านี้ขึ้นสวรรค์นิพพาน ถ้าคนเหล่านี้ปฏิบัติไม่ดี ก็พาคนเหล่านั้นตกนรกอเวจีก็มีมาก เรื่องบาปกรรมย่อมไม่ยกเว้นให้กับใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระเณร หรือเจ้านายชั้นไหนๆ ก็ตาม ถ้าทำบาปลงไปเป็นบาปทั้งนั้น ไม่มีการยกเว้น ลำเอียง”

    [​IMG]
    รูปหล่อเหมือนหลวงปู่คำดี ปภาโส ประดิษฐาน ณ พระธุตังคเจดีย์
    วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ



    พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นต้นมา หลวงปู่คำดี ปภาโส หลังจากล้มป่วยลงมาจากป่าเขาพงไพร แล้วอาการต่างๆ ในร่างกายของท่านอ่อนแอมาตลอด หลวงปู่เป็นผู้มีจรรยาวัตรการธุดงค์และการประพฤติดีปฏิบัติชอบมาตลอด หลวงปู่มีลูกศิษย์มากมายทั้งเป็นสงฆ์และฆราวาสโดยทั่วไป บุคคลผู้ที่ไม่เคยพบหลวงปู่คำดี เลย เพียงได้ยินชื่อหรือภาพที่เผยแพร่ออกไปยังหมู่ชนเท่านั้น ก็บังเกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า สละบ้านการงานมาศึกษา

    ต่อมาหลวงปู่คำดีได้ไปพบถ้ำผาปู่ ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นสภาพป่า แต่เป็นสถานที่เก่าแก่ของวัดโบราณและได้รกร้างมานาน หลวงปู่คำดีเข้าไปปักกลดบำเพ็ญภาวนา เห็นว่ามีความสงบวิเวกดี เหมาะแก่การปฏิบัติ ต่อไปภายหน้าจะมีผู้ที่สนใจใคร่ประพฤติธรรมมาใช้สถานที่แห่งนี้กันมาก ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันสร้างกุฏิหลังหนึ่งเพื่อถวายหลวงปู่อยู่จำพรรษา ต่อมาชื่อเสียงของหลวงปู่คำดี พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ได้ขจรไปยังชาวจังหวัดเลยมากขึ้น

    จนมีผู้ศรัทธาทั้งหลายในจังหวัดพากันสละเงิน เสริมสร้างเสนาสนะมากขึ้นหลายหลัง อีกทั้งศาลาหลังใหญ่ขึ้นอีกหลังหนึ่ง ชาวบ้านทั้งหลายจึงนิมนต์หลวงปู่อยู่จำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่นิมิตร จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นที่น่ายินดีที่ชาวจังหวัดเลย ได้เพชรน้ำงามที่เจียระไนแล้วมาเป็นมิ่งขวัญประดับจิต ประดับใจแห่งชีวิต ด้วยร่างกายของท่านไม่ดี ท่านมักเตือนลูกศิษย์ของท่านเสมอว่า “ร่างกายสังขารของผมแย่สมควรแล้ว ถ้าเป็นรถยนต์ก็ทิ้งได้แล้ว ถ้าหากผมล้มป่วยคราวนี้คงไม่ไหวแน่ ถ้าหมู่คณะจะรักษาร่างกายผม ก็รีบจัดการรักษาเสีย”

    พวกสานุศิษย์ทั้งหลายเห็นท่านพอเดินได้ พูดได้ ฉันได้ เทศน์ได้ ก็พากันใจเย็นและจัดหาให้ฉันตามปกติ แต่ไม่ได้พาหลวงปู่เข้าตรวจรักษาที่โรงพยาบาล ต่อมาวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ตอนเช้าหลังจากฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกญาติโยมทั้งหลายมาพร้อมกันแล้ว ท่านก็พูดว่า “มาฟังเทศน์กัน อาตมาจะเทศน์ครั้งสุดท้าย ต่อไปจะไม่ได้เทศน์อีกแล้ว จะไม่ได้ประพรมน้ำพระพุทธมนต์อีกแล้ว และจะไม่ได้พูดกันอีกต่อไป” พระลูกศิษย์และโยมทั้งหลาย เมื่อได้ฟังคำพูดของหลวงปู่อย่างนั้นก็พากันแปลกใจ แต่ไม่มีผู้ใดเฉลียวใจว่า คำพูดของท่านนั้นเป็นการพูดครั้งสุดท้ายจริงๆ หลวงปู่เริ่มเทศน์เรื่อง “ความไม่ประมาท”

    เมื่อท่านเทศน์จบ ลูกศิษย์ลากลับแล้ว ท่านเข้าพักผ่อนตามอัธยาศัยของท่าน จนกระทั่งเวลา ๑๕.๐๐ น. ของวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ ท่านเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ท่านก็พูดขึ้นว่า “ผมเป็นลม” ขณะนั้นมีพระอุปัฏฐานท่าน ๔ รูป ได้ประคองท่านนอนลงที่อาสนะ เมื่อนอนลงแล้วท่านไม่พูดไม่คุยกับใครทั้งนั้น มีแต่นอนเฉยๆ ไม่มีการขยับตัว ลูกศิษย์ต่างก็พากันตกใจ ต่างก็หายามาให้ท่านฉัน แต่ไม่หาย จนถึงเวลา ๑๘.๐๐ น. ก็ให้โยมไปเชิญหมอจากโรงพยาบาลมาตรวจดูอาการของหลวงปู่ มีการฉีดยา ให้น้ำเกลือ ท่านก็ยังไม่ฟื้น

    รุ่งขึ้นวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ คุณหมอก็สวนปัสสวะให้ท่าน สายยางที่สวนเข้าไปทำให้เกิดเป็นแผลภายใน เลือดไหลไม่หยุด ลูกศิษย์จึงปรึกษาว่าควรพาไปรักษาตัวในกรุงเทพฯ วันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๒๖ คณะศิษยานุศิษย์นำหลวงปู่ ถึงโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ตรวจสอบอาการของหลวงปู่ แล้วให้การบำบัดรักษาประมาณ ๙ เดือน อาการหลวงปู่ดีขึ้นเป็นลำดับ ศิษยานุศิษย์จึงเห็นสมควรให้ท่านกลับวัดถ้ำผาปู่นิมิตร

    ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ อาการไข้ได้กำเริบขึ้นอีก นายแพทย์ปัญญา ส่งสัมพันธ์ จึงส่งรถพยาบาลมารับท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ที่กรุงเทพฯ อีก คราวนี้มีแต่ทรงกับทรุดมาตลอด พอถึงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๗ เวลา ๑๓.๑๓ น. หลวงปู่ท่านก็สิ้นลมจากไปด้วยอาการสงบ

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดรับเป็นเจ้าภาพบำเพ็ญพระราชกุศลตลอด ๗ วัน และบำเพ็ญพระราชกุศล ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วันตามลำดับ

    สำหรับอาพาธของหลวงปู่รวมสองครั้งดังนี้ ครั้งแรกเป็นเวลา ๙ เดือน ครั้งที่สองเป็นเวลา ๙ เดือน สิริรวมอายุจนถึงวันมรณภาพได้ ๘๓ ปี รวมพรรษาธรรมยุตได้ ๕๗ พรรษา ๓ เดือน ๒๓ วัน


    ๏ ลำดับการจำพรรษา

    ปี พ.ศ. ๒๕๗๑ จำพรรษาที่วัดบ้านยาง ตำบลโคกสี อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๗๒ จำพรรษาที่วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

    ปี พ.ศ. ๒๔๗๓-๒๔๗๕ จำพรรษาที่วัดป่าหนองกุ บ้านหนองคู ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๗๖-๒๔๘๐ จำพรรษาที่วัดป่าช้าดงขวาง บ้านโนนฝรั่ง ตำบลหัวทะเล จังหวัดนครราชสีมา

    ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ จำพรรษาที่วัดป่าอภัยวัน บ้านทุ่ม ตำบลบ้านทุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๘๒-๒๔๘๖ จำพรรษาที่วัดถ้ำกวาง บ้านหินร่อง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๘๗-๒๔๙๓ จำพรรษาที่วัดป่าชัยวัน ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ จำพรรษาที่วัดป่าอรัญญวาสี (วัดบ้านเหล่านาดี) บ้านเหล่านาดี ตำบลบ้านหว้า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ จำพรรษาที่วัดป่าชัยวัน ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๖-๒๔๙๗ จำพรรษาที่วัดป่าคีรีวัน (วัดคำหวายยาง) บ้านภูพานคำ ตำบลบ้านกง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๘-๒๕๐๘ จำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย

    ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ จำพรรษาที่วัดป่าหนองแซง (วัดราษฎรสงเคราะห์) ตำบลหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี

    ปี พ.ศ. ๒๕๑๐-๒๕๒๕ จำพรรษาที่วัดถ้ำผาปู่นิมิตร ตำบลนาอ้อ อำเภอเมือง จังหวัดเลย

    ปี พ.ศ. ๒๕๒๖-๒๕๒๗ จำพรรษาที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร (เพื่อรักษาอาการอาพาธ)


    ๏ ลำดับสมณศักดิ์

    ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นโท ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในราชทินนามที่ “พระครูญาณทัสสี”

    ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ วันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นเอก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ในราชทินนามเดิม

    [​IMG]
    อัฐิธาตุหลวงปู่คำดี ปภาโส ประดิษฐาน ณ พระธุตังคเจดีย์
    วัดอโศการาม ต.ท้ายบ้าน อ.เมือง จ.สมุทรปราการ
     
  10. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    ๏ ธรรมโอวาท

    หลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านมักจะอบรมลูกศิษย์ของท่านอยู่เสมอๆ ว่า “เรามีตาเท่ากับว่าไม่มีตา มีหูเท่ากับว่าไม่มีหู มีท้องก็ฉันอยู่ได้ไปวันๆ เท่านั้น ไม่ต้องแสดงความโลภและตะกละ” ให้พากันสำเหนียกไว้เรื่องของความโลภ ความโกรธ ความหลง จะต้องมีด้วยกันทุกคน ถ้าพูดถึงความโลภ เมื่อมันมีเจตนาบันดาลเกิดขึ้นมาแล้ว มันจะมืด ไม่รู้จักบาปบุญ ไม่กลัวคุกกลัวตะราง อันนี้เรียกว่าฤทธิ์ของมัน ท่านจงให้ระวังดีๆ ในเรื่องของสามประการนี้ท่านสอนว่า อย่าไปปรุงแต่งตามมัน ให้มีสติรู้เท่าทันมัน เมื่อเราปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว ความโลภ ความโกรธ ความหลง เหล่านี้ก็จะเสื่อมอำนาจไป

    ตัวอย่างเช่น เมื่อเราประสงค์จะเอาสิ่งใด เราจะต้องพิจารณาเหตุเสียก่อน เมื่อพิจารณาดูแล้วว่ามันไม่ผิดศีลธรรม เราก็สามารถเอาได้ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วว่ามันผิดศีลผิดธรรม เราก็ละเสียไม่เอา นี่แสดงว่าเราไม่ปรุงแต่งตามมัน ในความอยากได้หรือความโลภ และเราก็มีสติรู้เท่ามัน คือมีการพิจารณาในเหตุในผลเสียก่อน ถ้าเราประพฤติได้ในลักษณะนั้น เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนดี กระทำแต่ในสิ่งที่ดี มีแต่บุญกุศล ถ้าพูดสั้นๆ ก็หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีผลเท่านั้น คือถ้าเราทำเหตุดีก็จะได้รับผลดี แต่ถ้าเราทำเหตุชั่ว เราก็จะได้รับผลชั่ว

    แต่การที่จะทำเหตุที่ดีนั้น มนุษย์เราทำกันอย่างยากหนา ที่ว่าทำยากเพราะอะไร ? คือมนุษย์บางเหล่าไม่รู้จักเหตุและผล จึงไม่รู้จักเลือกเฟ้นทำเหตุที่ดีกัน และอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเรานี้ไม่ค่อยชอบกระทำเหตุที่ดีกัน แต่ผลดีของมันนั้นชอบกันทุกคน

    ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย คำว่าตายในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าร่างกายเราตาย หมายถึง จิตใจคนเราตาย คือตายจากมรรคผลนิพพานต่างหาก ความไม่ประมาทเป็นหนทางแห่งความไม่ตาย คือไม่ประมาทต่อการทำความดี ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มีโอกาสจะได้ไปสวรรค์ พรหมโลก หรือมรรคผลชั้นใดชั้นหนึ่ง ตลอดถึงพระนิพพานข้างหน้าแน่นอน ช้าหรือเร็วแล้วแต่บุญบารมีหรือความพากเพียรของตนเอง

    ความไม่ประมาท คือ เป็นผู้มีสติจดจ่ออยู่ที่กายและใจ ทุกอิริยาบถทั้ง ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีการเผลอสติจากอิริยาบถทั้ง ๔ จึงจัดว่าเป็นผู้ไม่ประมาทเข้าใจไหม (ท่านถามลูกศิษย์) " นี่คือเทศน์ครั้งสุดท้ายของท่านก่อนที่จะล้มป่วย

    คำว่าฟังเทศน์หมายความว่า เอาใจฟังอย่าให้ใจหนีจากตัว ใจผู้ใดก็ให้รักษาอยู่กับตัว อย่าให้ใจหนีจากตัว ใจผู้ใดก็ให้รักษาอยู่กับตัว ให้รู้อยู่กับภาวนา หรือให้รู้อยู่เฉพาะใจ อย่าให้ร่างกายนั่งอยู่ที่นี่แต่ใจมันคิดไปที่อื่น ก็ชื่อว่าใจไม่ฟัง คำว่าใจฟังคือใจจดจ่อ สะท้อนให้ละความชั่ว ประพฤติความดี ความชั่วก็ได้แก่บาปนั่นแหละ ความดีก็ได้แก่บุญกุศลนั่นแหละ แต่เกี่ยวเนื่องอยู่กับจิตใจของเรา ถ้าพูดให้สั้นๆ เอาเฉพาะใจความโอวาทของพระพุทธเจ้า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านก็ย่นลงมาเป็น ๓ ข้อด้วยกันคือ

    (๑) พระพุทธเจ้าสอนให้ละกายทุจริต และประพฤติกายให้สุจริตนี้เป็นข้อที่หนึ่ง

    (๒) ให้ละวาจาทุจริต และให้ประพฤติวาจาให้สุจริต

    (๓) ให้ละมโนทุจริต และให้ประพฤติใจให้สุจริต

    จะพูดถึงบาป อกุศลกรรมบทหมายความว่า การทำบาปทั้งหลายก็รวมมาอยู่ที่อกุศลกรรมบท ๑๐ ประการนั่นแหละ คำว่าบุญกุศลก็รวมอยู่ที่กุศลกรรมบท ๑๐ ประการนั่นแหละ ชื่อว่ากายกรรม ๓ วจีกรรม ๔ มโนกรรม ๓ ถ้าพูดให้สั้นให้น้อยลงไปอีก กายกรรม ๓ และวจีกรรม ๔ เป็นกิริยา การทำบาป ย่นลงมาทางใจคือ ใจโลภ ใจหลง มี ๓ อย่างเท่านั้นแหละเป็นต้นเหตุ ตกลงอกุศลกรรมบทก็หมายใจเท่านี้แหละเป็นต้นเหตุ ตกลง อกุศลกรรมบทก็หมายใจเท่านั้น หมายใจดวงเดียวคือใจ ก็หมายอันเดียวเรียกว่า เอกังจิตตัง ที่เรียกว่า จิต หัวใจ ก็เรียกว่าเป็นใจดวงเดียว เอกมโนเรียกว่า ใจอันเดียว

    ตกลงผู้ที่เบื่อความทุกข์ เบื่อความโง่ เบื่อความเป็นบาป ก็มาปฏิบัติแก้กายทุจริตให้เป็นกายสุจริต แก้วจีทุจริตให้เป็นวจีสุจริต แก้มโนทุจริตเป็นมโนสุจริต นี้เป็นวิธีปฏิบัติ ถ้าเราจะเทียบในทางโลกเหมือนกับพวกชาวไร่ ชาวนาที่มีไร่มีนา แต่ก่อนมันก็เป็นป่าเป็นดงนั่นแหละ เมื่อถือสิทธิ์แล้วก็จึงสร้างจึงถากถาง ทำให้เป็นไร่เป็นสวนทำให้บริสุทธิ์ ทำนาก็ให้เป็นนาจริงๆ ทำสวนก็ให้เป็นสวนจริงๆ

    คนทุกข์คนจนในโลกนี้ไม่ใช่ทุกข์เพราะเสือกิน ไม่ใช่ทุกข์เพราะงูร้ายกัด ไม่ใช่ทุกข์เพราะช้างฆ่า แต่ทุกข์เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลงของตน จะทุกข์เพราะสิ่งใดๆ ก็ตาม ตัวความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่แหละเป็นผู้ฆ่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง สามสิ่งนี้ร้ายกาจกว่าสิ่งอะไรทั้งหมด ร้ายกว่าผีร้าย ร้ายกว่าเสือร้าย ร้ายกว่างูร้าย ไม่มีสิ่งไหนจะร้ายกว่าตัวความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะฉะนั้นให้ระวังที่สุด เรื่องของความโลภ ความโกรธ ความหลง สามประการนี้ มันสามารถทำให้ผู้รู้แจ้งเป็นคนมืดก็ได้ ฤทธิ์ของมันน่ะ มันอยู่เหนือทุกคนในโลกที่ได้เกิดมาในโลกนี้ ยกเว้นเสียแต่พระอรหันต์


    ๏ ปัจฉิมบท

    ด้วยความขยัน อดทน พากเพียร และจริงใจในการปฏิบัติบูชา เพื่อมุ่งหวังในพระธรรม เป็นผลให้หลวงปู่ได้พบหนทางแห่งการดับทุกข์และความพ้นทุกข์ และเป็นที่ทราบกันดีว่า หลวงปู่คำดี ปภาโส แห่งวัดถ้ำผาปู่นิมิตร จังหวัดเลย เป็นพระสุปฏิปันโน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ธรรมโอวาทและการปฏิบัติของหลวงปู่ปรากฏในข้อความข้างต้นนี้ คงจะเป็นประโยชน์ต่อสาธุชนผู้สนใจใฝ่ธรรมทุกท่าน

    [​IMG]
    เจดีย์หลวงปู่คำดี ปภาโส (เจดีย์องค์นี้อยู่ด้านหน้าทางเข้าวัด) วัดถ้ำผาปู่นิมิตร

    [​IMG]
    พิพิธภัณฑ์หลวงปู่คำดี ปภาโส วัดถ้ำผาปู่นิมิตร

    ( คัดลอกจาก www.dhammajak.net )
     
  11. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    36. เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่คำดี ปภาโส


    ( 900 บาท)

    - เหรียญรุ่นแรก หลวงปู่คำดี ปภาโส
    - เลียมเก่า (นูน) สภาพสวยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06545.jpg
      DSC06545.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.5 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC06546.jpg
      DSC06546.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.4 KB
      เปิดดู:
      38
    • DSC06548.jpg
      DSC06548.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.9 KB
      เปิดดู:
      42
  12. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    [​IMG]


    หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต
    วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน ) อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น (2445-2525)

    หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต นามเดิม ผาง ครองยุติ

    เกิด วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2445 ตรงกับวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 9 ปีขาล ณบ้านกุดกะเสียน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมมารดา บิดา 3 คน คือ

    1. นางบาง ครองยุติ

    2. นายเสน ครองยุติ

    3. นายผาง ครองยุติ

    โยมบิดาชื่อ ทัน

    โยมมารดาชื่อ บัพพา


    เมื่ออายุได้ 20 ปี (พ.ศ.2465) ท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ตามประเพณีลูกผู้ชายชาวไทย และทดแทนพระคุณบิดามารดา สังกัดคณะมหานิกาย ณ วัดเขื่องกลาง บ้านเขื่องใน ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพระครูดวน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ดี เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ศึกษาพระธรรมวินัย มีความรู้พอสมควร เมื่อบวชได้ 1 พรรษา จึงได้ลาสิกขาจากสมณเพศ ครั้นอายุได้ 23 ปี ได้แต่งงานมีครอบครัวกับนางสาวจันดี สายเสมา คนบ้านแดงหม้อ ต.แดงหม้อ อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี อยู่ด้วยกันมา 21 ปี ไม่มีบุตร มีแต่บุตรบุญธรรม

    ต่อมาเมื่ออายุได้ 43 ปี จึงได้ชวนกันกับภรรยาออกบวช ภรรยาได้บวชเป็นแม่ชี ท่านได้มอบสมบัติทรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้แก่นางหนูพาน ผู้เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ส่วนตัวท่านได้เข้าอุปสมบทอีกครั้ง เป็นครั้งที่ 2 ในคณะมหานิกายเช่นเดิม ที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข ต.เขื่องใน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีพระครูศรีสุตตาภรณ์ (ตื๋อ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระกรรมวาจาจารย์และพระอนุสาวนาจารย์ไม่ปรากฎ หลังจากบวชแล้วได้จำพรรษาที่วัดคูขาด บ้านศรีสุข อ.เขื่องใน จ.อึบลราชธานี แต่ท่านได้เข้าศึกษาอบรมพระกรรมฐาน อยู่ในสำนักวัดป่าวารินชำราบ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี กับพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม (เจ้าคุณพระญาณวิศิษฎ์) และท่านพระอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล และได้ทำการญัตติกรรมในคณะธรรมยุติ เมื่ออายุได้ 47 ปี ณ วัดบ้านโนนหรือวัดทุ่ง โดยมีพระครูพินิจศีลคุณ (พระมหาอ่อน เจ้าคณะอำเภอเขื่องใน) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระมหาทราย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาจันทร์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2491 แรม 2 ค่ำ เดือน 7 ปีชวด ซึ่งเป็นการอุปสมบทเป็นครั้งที่ 3 ของท่าน

    หลวงปู่ผาง ได้ปฏิบัติฝึกอบรมกรรมฐานอยู่ในสำนักท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม พอสมควรแล้วก็ได้ออกธุดงค์ ปฏิบัติกรรมฐานไปวิเวกโดยลำพัง และได้เข้าอบรมอยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านนามน จ.สกลนคร ได้พอสมควร ก็ท่องเที่ยววิเวกไปแต่ผู้เดียวในป่าเขา จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาหลายปี

    ต่อมาในปี พ.ศ.2492 ได้มาพักจำพรรษาที่วัดป่าบัลลังก์ศิลาทิพย์ บ้านแทน ต.บ้านแท่น อ.ชนบท จ.ขอนแก่น จำพรรษาได้ 1 พรรษา พอออกพรรษาแล้วท่านจึงได้เดินธุดงค์ไปทางอำเภอมัญจาคีรี ชาวบ้านโสกใหญ่ บ้านดอนแก่นเฒ่า บ้านโสกน้ำขุ่น ได้พร้อมใจกันมานิมนต์หลวงปู่ ไปพักภาวนาที่เชิงเขาภูผาแดง อ.มัญจาคีรี ชาวบ้านเรียกสถานที่นั้นว่า ?ดูน? เนื่องจากมีน้ำไหลออกมาจากภูเขาตลอดปี ชาวบ้านแถวนั้นถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีพระรูปใดเข้าไปอยู่ได้ และที่ตรงนี้เองที่ตรงกับที่ท่านเห็นในสมาธินิมิตทุกประการ ท่านจึงได้ชวนชาวบ้านสร้างเป็นวัด ชาวบ้านทั่วไปจึงเรียกว่า ?วัดดูน? ตั้งแต่นั้นมา หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ?วัดอุดมคงคาคีรีเขต? แปลว่า วัดที่อุดมไปด้วยน้ำและมีภูเขาเป็นเขต ตั้งแต่พ.ศ.2493 ท่านจึงได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดูนนี้เรื่อยมา และก็ได้เดินธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ ได้ผจญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้มาอย่างดี จึงกล่าวว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติและพระสุปฏิปันโนอย่างแท้จริงได้องค์หนึ่ง

    ในปี พ.ศ.2505 หลวงปู่ได้สร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง ที่บ้านแจ้งทับม้า ต.นางาม อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่นตั้งอยู่ห่างจากวัดอุดมคงคาคีรีเขตไปทางทิศตะวันออก ประมาณ 4 กิโลเมตร ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่า ?วัดป่าพัฒนาคีรี หรือวัดบ้านแจ้ง? มีเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่

    พ.ศ. 2505 ? 2507 ระยะทางที่สามแยกปากทาง จากถนนระหว่างอำเภอมัญจาคีรี ? อำเภอแก้งคร้อ ไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต ประมาณ 12 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเล็ก ๆ แคบ ๆ คดเคี้ยว การคมนาคมไม่สะดวก โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนลำบากมาก หลวงปู่จึงได้ประชุมชาวบ้านทุกหมู่บ้านที่ถนนผ่าน เพื่อช่วยพัฒนาตัดถนนใหม่ให้มีเส้นทางให้ได้มาตรฐาน ขนาดกว้างพอควร และที่ประชุมยอมรับมติที่หลวงปู่ปรารถนาและแนะนำ หลังจากมีมติทำถนนใหม่แล้ว ชาวบ้านทุกหมู่บ้านก็ร่วมแรงร่วมใจกันพัฒนาจนกระทั่งแล้วเสร็จ โดยหลวงปู่ได้อยู่เป็นประธานตลอด โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐแต่ประการใด ปัจจุบันเป็นเส้นทางสำคัญของชาวบ้านในการคมนาคมเพื่อการเกษตรขนส่งและอื่น ๆ

    ในปี พ.ศ. 2507 ทางวัดอุดมคงคาคีรีเขตได้รับความร่วมมือจาก กรป.กลาง กรุงเทพฯ และหน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่จังหวัดอุดรธานี ได้นำหน่วยงานดังกล่าวพัฒนาเส้นทางไปวัดอุดมคงคาคีรีเขต เป็นถนนขนาดกว้างประมาณ 10 เมตร ยาว 12 กิโลเมตร ลงหินลูกรังตลอดเส้นทาง และต่อมา วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2523 หลวงปู่ได้มีหนังสือถึงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อของบประมาณทำถนนเส้นดังกล่าวเป็นถนนลาดยาง ซึ่งทางราชการก็ได้อนุมัติ และก็ได้ทำเป็นถนนลาดยางในเวลาต่อมา ซึ่งก็ได้ใช้ประโยชนต่าง ๆ ดังเช่นที่ปรากฎในปัจจุบัน

    พ.ศ. 2511 เมื่อท่านพระครูโอภาสสมณกิจ เจ้าคณะอำเภอชนบท จ.ขอนแก่น วัดป่าธรรมวิเวก ได้ก่อสร้างอุโบสถ ท่านพระครูฯและคณะสงฆ์ พร้อมด้วยทายกทายิกาชาวชนบท ได้กราบอาราธนานิมนต์หลวงปู่ผางมาจำพรรษาที่วัดป่าธรรมวิเวกแห่งนี้ เพื่อเป็นประธานในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ได้เมตตารับเป็นประธานด้วยดี และช่วยอุปถัมภ์มาตลอด เริ่มตั้งแต่อนุญาตให้จัดสร้างเหรียญรุ่นแรกของท่าน เพื่อนำรายได้สมทบทุนสร้างอุโบสถ กระทั่งอุโบสถวัดป่าธรรมวิเวกเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทุกประการ หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ออกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ และก็ได้สร้างสาธารณะสถานไว้ในพระพุทธศาสนามากมาย จึงเป็นที่รู้จักและเลื่อมใสศรัทธาของประชาชนทั่วไป

    พ.ศ. 2523 หลวงปู่ผาง ได้เมตตารับเป็นประธานอำนวยการสร้าง ?พระธาตุขามแก่น ศิโรดม? หน้าศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ร่วมกับพ่อค้า ประชาชน ภาคราชการ เอกชนทุกหมู่เหล่า เพื่อร่วมฉลองสองร้อยปีกรุงรัตนโกสินทร์ และในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2525 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จทำพิธีเปิดพระธาตุขามแก่น ศิโรดม ให้ประชาชนได้สักการะบูชา

    ปัจจุบัน พระธาตุขามแก่น ศิโรดม ถือได้ว่าเป็นปูชนียสถานที่สำคัญคู่บ้านคู่เมือง ได้สร้างเสร็จทันเแลืมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2525 พอดี ทางจังหวัดได้กำหนดให้มีงานนมัสการพระธาตุขามแก่น ศิโรดม เป็นงานประจำปีของจังหวัด ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม ของทุกปี

    ทอดผ้าป่าผ้าไหมสามัคคี เมื่อวันที่ 21 พฤศจิายน พ.ศ.2524 หลวงปู่พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ทายก ทายิกา และคณะศิษยานุศิษย์ ได้พร้อมใจกันจัดผ่าป่าสามัคคดี ?ผ้าไหมไตรจีวร? ไปทอดถวาย 3 วัดด้วยกันคือ

    1. ทอดถวายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ

    2. ทอดถวายสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวธฺฒโน ป.ธ.9 วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเพทฯ ซึ่งต่อมาท่านได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก

    3. ทอดถวายพระพรหมมุนี (สนั่น จนฺทปชฺโชโต ป.ธ.9) วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาท่านได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระมหามุนีวงศ์

    การไปทอด ผ้าป่าสามัคคีของหลวงปู่ครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ท่านปรารภจะทำมานานแล้ว ซึ่งเป็นการจัดผ้าป่าไปทอดถวายครั้งแรกในชีวิตของท่าน และก็ถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเช่นกัน

    มรณภาพ

    ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2524 หลวงปู่ได้เข้ารักษาที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา เนื่องจากพบว่าหลวงปู่เริ่มเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร

    23 กุมภาพันธ์ 2525 หลวงปู่ได้มารับการรักษาที่โรงพยาบาลนี้ ด้วยอาการอ่อนเพลีย เนื่องจากมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร และยังพบว่ามีอาการของกล้ามเนื้อหัวใจตายเพิ่มขึ้นด้วย

    16 มีนาคม 2525 คณะศิษย์ได้นิมนต์กลับวัด หลังจากหลวงปู่กลับถึงวัดได้ไม่กี่วัน ก็มีอาการอาเจียน ฉันอาหารและน้ำไม่ได้ ปัสสาวะน้อย และแล้ว

    ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2525 หลวงปู่ได้ละสังขารในตอนบ่ายนั้น เวลา 16.45 น. ด้วยอาการสงบ สิริรวมอายุได้ 80 ปี (34 พรรษา) นับเป็นการจากไปของพระ
    สุปฏิปันโน ผู้มีคุณธรรมอันเลิศรูปหนึ่ง ที่ไม่ปรารถนาลาภ ยศ สรรเสริญ หรือติดในโลกธรรมแต่ประการใด ดังคำที่ท่านพูดไว้ว่า

    ?มี ชื่อไม่อยากให้ปรากฎ มียศไม่อยากให้ลือชา มีวิชาไม่ให้เรียนยาก? แต่คุณธรรมและปฏิปทาของท่านยังเป็นที่เคารพศรัทธาของพุทธศาสนิกชนมิรู้ลืม ท่านยังเป็นพระในดวงใจของคณะศิษยานุศิษย์ไม่เสื่อมคลาย ตราบนานเท่านาน จึงได้จัดพิธีพระราชทาน เพลิงศพไว้อาลัยแด่หลวงปู่เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันอังคารที่ 24 มีนาคม 2528 เวลา 16.00 น. คณะศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนทั่วไปจากทั่วทุกสารทิศได้หลั่งไหลกันมาจากทุกภาคของประเทศไทย เพื่อร่วมงานพระราชทานเพลิงศพ ?หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต?

    ( คัดลอกจาก www.itti-patihan.com )
     
  13. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    37. เหรียญรุ่น2 หลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต


    (3,000 บาท)

    - เหรียญรุ่น2 หลวงปู่ผาง สร้างเมื่อปี2513 ครบทั้ง 2 พิมพ์ หายากครับ สภาพสวย
    - เหรียญบาตรข้าง กะไหล่
    - เหรียญบาตรหลัง พิมพ์พิเศษ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06515.jpg
      DSC06515.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.5 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC06517.jpg
      DSC06517.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.1 KB
      เปิดดู:
      48
    • DSC06520.jpg
      DSC06520.jpg
      ขนาดไฟล์:
      79 KB
      เปิดดู:
      42
    • DSC06521.jpg
      DSC06521.jpg
      ขนาดไฟล์:
      71.7 KB
      เปิดดู:
      43
  14. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    38. หลวงพ่อผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต


    ( 950 บาท )

    - เหรียญฉลองเจดีย์ ปี 2519
    - ภาพถ่ายขนาดห้อยคอ
    - รูปเหมือนพิมพ์บาตรเปิด
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06523.jpg
      DSC06523.jpg
      ขนาดไฟล์:
      70.9 KB
      เปิดดู:
      44
    • DSC06524.jpg
      DSC06524.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.3 KB
      เปิดดู:
      41
    • DSC06501.jpg
      DSC06501.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.6 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC06502.jpg
      DSC06502.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.4 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC06333.jpg
      DSC06333.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.6 KB
      เปิดดู:
      47
    • DSC06334.jpg
      DSC06334.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.8 KB
      เปิดดู:
      59
    • DSC06337.jpg
      DSC06337.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.6 KB
      เปิดดู:
      46
  15. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    [​IMG]

    พระพุทธสิริสัตตราช (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์) องค์จริง
    ถ่าย ณ บ้านเรือนไทย ลาดพร้าว 57/1 กทม.
    5 สิงหาคม 2550

    (คัดลอกจาก www.luangphorjedkasatra.com)

    <center>[​IMG]

    หลวงปู่สอ พันธุโล</center>(คัดลอกจาก www..palungjit.org)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2011
  16. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    39. หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ หลวงปู่สอ


    (1,000 บาท)

    - ล็อคเก็ตยุคแรกๆ หลวงปู่สอ หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ + เชือกสี
    - เหรียญ หลวงปู่สอ หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ กะไหล่เงิน (หายาก)
    - เหรียญ หลวงปู่สอ หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ กะไหล่ทองลงยา (หายาก)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06485.jpg
      DSC06485.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.6 KB
      เปิดดู:
      36
    • DSC06487.jpg
      DSC06487.jpg
      ขนาดไฟล์:
      76.1 KB
      เปิดดู:
      43
    • DSC06600.jpg
      DSC06600.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.9 KB
      เปิดดู:
      40
    • DSC06601.jpg
      DSC06601.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.9 KB
      เปิดดู:
      34
    • DSC06608.jpg
      DSC06608.jpg
      ขนาดไฟล์:
      78.1 KB
      เปิดดู:
      33
    • DSC06610.jpg
      DSC06610.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.7 KB
      เปิดดู:
      35
  17. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    [​IMG]

    หลวงปู่ศรี มหาวีโร (วัดประชาคมวนาราม ) วัดป่ากุง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด


     
  18. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    40. ล็อคเก็ต หลวงปู่ศรี


    (สอบถามครับ คุณ aetipp จองครับ)

    - ล็อคเก็ต ด้านหลังเป็น เกศา สายสิญจน์ + มวลสารอื่นๆ
    - ล็อคเก็ต เจดีย์ พิมพ์เล็ก
    - ล็อคเก็ต เจดีย์ พิมพ์ใหญ่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06480.jpg
      DSC06480.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.3 KB
      เปิดดู:
      49
    • DSC06478.jpg
      DSC06478.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.8 KB
      เปิดดู:
      50
    • DSC06482.jpg
      DSC06482.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.3 KB
      เปิดดู:
      49
    • DSC06484.jpg
      DSC06484.jpg
      ขนาดไฟล์:
      53.5 KB
      เปิดดู:
      52
    • DSC06669.jpg
      DSC06669.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.5 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC06666.jpg
      DSC06666.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.1 KB
      เปิดดู:
      36
    • BA5mT1284992245-1.jpg
      BA5mT1284992245-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16 KB
      เปิดดู:
      43
    • Euei71284992245-2.jpg
      Euei71284992245-2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.8 KB
      เปิดดู:
      34
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2011
  19. KRITA

    KRITA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2007
    โพสต์:
    2,060
    ค่าพลัง:
    +7,264
    34. หลวงพ่อชมวัดนางใน #1
    35. หลวงพ่อชมวัดนางใน #2
    จองครับ
     
  20. adiosnkid

    adiosnkid เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2009
    โพสต์:
    716
    ค่าพลัง:
    +700
    41. หลวงปู่แก้ว วัดดอยโมคคัลลา


    (300 บาท)

    - เหรียญหลวงปู่แก้ว วัดดอยโมคคัลลา ปี2520

    หลวงปู่แก้วได้รับคำชมจากหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ อย่างมาก ในครั้งที่มีลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้กับหลวงปู่แก้วไปกราบหลวงปู่แหวน ที่ดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่แหวนท่านบอกว่าไม่ต้องมาหาเราหรอก ไปหาหลวงปู่แก้ว ดอยโมคคัลาน์ เหมือนเราทุกอย่าง...


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06612.jpg
      DSC06612.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.7 KB
      เปิดดู:
      30
    • DSC06613.jpg
      DSC06613.jpg
      ขนาดไฟล์:
      92.2 KB
      เปิดดู:
      30

แชร์หน้านี้

Loading...