วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    <CENTER>Re: สอบถามเรื่องลมหายใจครับ

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ประตูสู่ทางสว่าง
    จากการที่กำหนดลมหายใจเข้าออกและภาวนา
    พุทโธ ผ่านไประยะหนึ่ง แล้วมีความรู้สึกว่ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ภายใจจมูกอย่างเดียวไม่ได้เข้าลึกไปกว่านี้

    ความรู้สึกนี้ผิดหรือเปล่าครับ

    ขอบคุณครับ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ไม่ผิดครับ ยิ่งสมาธิลึกขึ้น ฌานสูงขึ้น ลมหายใจยิ่งสั้นยิ่งละเอียด แต่ไม่ถี่กระชั้น

    จากที่ประเมิน ประมาณ ฌานสาม ลมหายใจเหลือเพียงเมล็ดถั่ว

    พอต่อไปลมหายใจก็ดับเป็น ฌานสี่หยาบหรือฌานสี่ใช้งาน

    ภาษาปฏิบัติในพระไตรปิฏกเรียกว่า ลมหายใจสงบระงับครับ
     
  2. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    อ่านเเล้วสะดุดตา ถามเลยละกันนะครับ คห.บนอ่ะ
    Re: สอบถามเรื่องลมหายใจครับ
    ตรงมีความรู้สึกว่ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ภายใจจมูกอย่างเดียวไม่ได้เข้าลึกไปกว่า
    <O:p
    รู้สึกว่าลมอยู่ในจมูกอย่างเดียว แต่ว่ายังสามารถรู้ว่าลมไปไหนได้ทุกฐาน<O:p
    หรือว่ามันนิ่งจนจับไม่ได้อ่ะครับ

    รบกวนหน่อยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 เมษายน 2010
  3. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มันนิ่งจนเห็นอาการสงบระงับของลมครับ

    หากจิตละเอียดขึ้นไปอีก จะพบว่า ลมในฌานสี่ เป็นอณูละเอียดแทรกซึมไปทั่วขุมขนครับ
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ธรรมมะจาก ห้องสมาธิ

    การเป็นครูการสอนสมาธินั้น
    [20:30:05] KANANUN: เราสอนเขาเราต้องตั้งกำลังใจว่า เราปรารถนาให้เข้าได้สมาธิ
    [20:30:15] KANANUN: ได้เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า
    [20:30:30] KANANUN: ธรรมมะเป็นของพระพุทธองค์ไม่ใช่เรา
    [20:30:47] KANANUN: ความดีทั้งหมด เราน้อมถวาย พระรัตนไตร
    [20:31:23] KANANUN: และการสอนก็ดี เราอาราธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์
    [20:31:39] KANANUN: อย่าได้ใช้กำลังใจหรือการท่องจำ ความคิดของเราเอง
    [20:32:08] KANANUN: สอนเรื่องอะไร ก็อธิษฐานให้ ตรงวาระจิตของผู้ฟังธรรม
    [20:32:25] KANANUN: ดังนั้น สอนกี่ครั้งก็ไม่เหมือนเดิม
    [20:34:19] KANANUN: จุดสำคัญอยู่ที่ สอนโดยเป็นการปลุกจิตให้ธรรมมะความดีในจิตผู้ฟังได้ตื่นขึ้นจากภายใน
    [20:34:55] KANANUN: ดังนั้นธรรมต้องกระทบจิต ถ่ายทอดจาก จิตสู่จิต รินรด ไปยังดวงจิตผู้ฟังธรรม
    [20:35:30] KANANUN: เหตุนี้จึงจะเกิดผลเป็น ธรรมอันอัศจรรย์ เป็นอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์
    [20:35:41] KANANUN: อันพระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ
    [20:35:57] KANANUN: ยังให้เกิดผลแห่งการปฏิบัติ
    [20:36:20] KANANUN: ยังไม่เกิดศรัทธา ก็ยังให้เกิดศรัทธาในธรรม
    [20:36:41] KANANUN: มีศรัทธาแล้วก็ ยังให้เกิดความมั่นคงในไตรสรณะคมม์
    [20:37:07] KANANUN: มั่นคงในไตรสรณะคมม์แล้ว ก็ให้หยั่งลงในกระแสแห่งโลกุตรธรรม
    [20:37:30] KANANUN: หากเป็นพุทธภูมิก็ให้ตื่นขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์
    [20:38:43] KANANUN: สอนให้เขาด้วยเมตตาแล้ว เราก็ต้อง อุเบกขา ไม่หวั่นไหว
    [20:39:16] KANANUN: เขาจะชม เขาจะด่า เขาจะอย่างไร เราก็เฉย
    [20:39:21] KANANUN: ให้โดยธรรม
    [20:39:26] KANANUN: ให้เพื่อธรรม
    [20:39:58] KANANUN: สอนเพื่อบูชาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    [20:40:22] KANANUN: สอนเพื่อพิสูจน์ธรรมว่า มีผลในการปฏิบัติจริง
    [20:40:39] KANANUN: สร้างความร่มเย็นศานติสู่ใจได้จริง
    [20:40:54] KANANUN: มีอานิสงค์จริง
    [20:41:22] KANANUN: เมื่อตั้งใจแล้วเราก็สอนด้วยจิตเมตตาอย่างแท้จริง
    [20:41:50] KANANUN: ความลังเลสงสัยแห่งธรรมในดวงจิตเราไม่มีแม้แต่น้อย
    [20:42:15] KANANUN: บรรลือสีหนาทประกาศธรรมด้วยความ เด็ดเดี่ยวห้าวหาญในธรรม
    [20:44:45] KANANUN: และพวกเรานั้น ตามที่พระท่านสั่ง
    [20:45:01] KANANUN: เราสอนธรรมมะ โดยเป็นธรรมทานเท่านั้น
    [20:45:54] KANANUN: ขอจงอย่าได้นำธรรม มาขาย แลกทรัพย์ ต้องแลกด้วยทรัพย์ ดังที่ปรากฏในพุทธพยากรณ์เป็นอันขาด
    [20:46:16] KANANUN: ธรรมทานจงให้ด้วยจิตเมตตาแต่เพียงสถานเดียว
    [20:47:09] KANANUN: ให้เพื่อธรรม เพื่อการสงเคราะห์ในธรรม ปรารถนาให้ผุ้รับฟังธรรมได้เข้าถึงธรรมเป็นที่สุด
    [20:47:22] KANANUN: เมื่อปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว
    [20:47:40] KANANUN: ก็ย่อมเกิดความเจริญในธรรมแต่เพียงสถานเดียว
    [20:47:55] KANANUN: ให้มากเท่าไร
    [20:48:16] KANANUN: ธรรมมะก็ยิ่งกลับเจริญงอกงามในใจเรามากขึ้นเท่านั้น
    [21:09:45] KANANUN: และสอนในกำลังใจหรือความเข้มข้นของธรรมมะที่ยิ่งไปกว่านั้น
    [21:10:10] KANANUN: จากประสบการณ์การสอนสมาธิที่เจอ
    [21:10:33] KANANUN: เมื่อสอนในระดับมรรคผลนิพพาน อารมณ์พระอริยะเจ้า
    [21:10:56] KANANUN: วันก่อนสอน นี่ถ่ายเป็นเลือดสดๆ เต็มโถ ทุกครั้ง
    [21:11:45] KANANUN: เราต้องยอม รับ ในวิบากที่ขัดขวางแทนลูกศิษย์ที่เราสอน
    [21:12:20] KANANUN: อะไรก็ไม่ได้ตอบแทน แถมยังโดนทรมานกายรับวิบากรรมให้เขาอีก
    [21:12:36] Nixxx: ใช่ครับ
    [21:12:39] Nixxx: (bow)

    [
    [21:13:22] KANANUN: มีเพียงเมตตาและความชื่นใจที่มีผุ้เข้าถึงธรรม ได้ลิ้มรสความชุ่มเย็นแห่งธรรม
    [21:13:34] KANANUN: ให้เราได้ยินดีกับเขาเท่านั้น
    [21:14:26] KANANUN: ซ้ำ บางครั้ง เราโดนปรามาสเราก็ต้องให้อภัย อโหสิกรรมเพื่อไม่ให้เกิดโทษแก่เขาด้วยจิตเอ็นดูสงสาร
    [21:14:35] KANANUN: เราทำได้ไหม
    [21:14:43] KANANUN: เราเสียสละได้ไหม

    [21:15:13] KANANUN: พระพุทธองค์ก่อนท่านจะบรรลุก็ทรง บำเพ็ญทุกขกริยายาวนานถึง 6 ปี
    [21:15:47] KANANUN: หลวงพ่อฤาษีเองเวลาสอนท่านก้ปรากฏอาการทรมานกายอย่างหนัก ลงท้องรุนเเรง
    [21:18:26] KaewJayeTinn: เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยหรือค่ะ
    [21:19:45] KANANUN: เป็นเครื่อง สร้างปรมัตถะบารมีครับ
    [21:20:18] KaewJayeTinn: (bow)
    [21:20:25] KANANUN: กว่าจะได้ธรรมที่ผมนำมาสอน และทำให้ง่ายนี่
    [21:20:35] KANANUN: เราสละเลือดสละชีวิตเพื่อธรรม
    [21:20:54] KANANUN: หวังให้ผุ้คนเข้าถึงธรรม
    [21:21:07] KANANUN: เหตุนี้ธรรมจึงมีค่าไม่มีประมาณ
    [21:21:16] KANANUN: สูงกว่า ทิพยสมบัติ
    [21:21:23] KANANUN: พรหมสมบัติ
    [21:22:27] KANANUN: หวังว่าทั้ง ครูและ ศิษย์ทั้งหลายจะเห็น คุณค่าแห่งธรรมครับ
    [21:22:46] KANANUN: พระอ.โนรี ท่านก็ป่วยไม่น้อยกว่ากัน
    [21:22:55] KANANUN: เวลาท่านโปรดพวกเรา
    [21:23:07] KaewJayeTinn: ท่าอย่างนั้นก็สอนใครส่งเดชไม่ได้ซิค่ะ
    [21:23:15] KANANUN: ครูบาอาจารย์ท่านสละชีวิต พลังชีวิตเพื่อมอบธรรมให้เรา
    [21:23:33] KANANUN: ต้องถามชัช
    [21:23:47] KANANUN: เวลาสอนสมาธิ เหนื่อยไหม เพลียไหม
    [21:23:50] Nixxx: (nod)

    [21:24:20] KANANUN: ดังนั้นพยายามขัดเกลาจิตใจเรา ปรับจิต ปรับใจเราให้ผ่องใส เจริญในธรรม


    ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต เพื่อบูชาพระรัตนไตร
     
  5. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    สาธุ อนุโมทนาค่ะ

    ขอน้อมรับในคำสอนของอาจารย์ค่ะ ที่ปูน้อมรับนั้นเพราะปูได้เจอกับตัวเอง ในเรื่องการน้อมขอบารมีพระ เพราะปูได้ปฏิบัติธรรมมาไม่กี่ปี ความรู้ในธรรมยังอ่อน เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนปูโทรมาปรึกษาในเรื่องธรรมะที่มีปัญหาติดขัด ปูก็ได้แต่ปลอบประโลมไป ว่าค่อยๆทำไป ตอนที่คุยตอนนั้น อารมณ์ใจของปูหนัก ไม่ผ่องใส ทำให้ไม่สามารถไปรู้วาระจิตแก้ปัญหาของเขาได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะเราใช้กำลังของเราเอง ไม่ได้ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ บ่อยครั้งที่ท่านอาจารย์คณานันท์คอยเตือนปูอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำอะไรหรือคุยธรรมะให้ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ อย่าใช้กำลังใจของตัวเราเอง เราไม่สามารถรู้ได้ว่าการที่ไปแนะนำเขาด้วยกำลังใจของเราเอง นั้นถูกหรือผิด เพราะเราจะใช้ตัวเราเองเป็นมาตรฐานในความคิดว่า ต้องทำแบบนี้นะถึงถูก ทำแบบนี้ไม่ใช่ ถ้าผิดจากตรงนี้ไปไม่ถูกแล้ว

    อาจารย์คณานันท์ยังสอนต่อไปอีกว่า ถ้าเราแนะนำธรรมะโดยการน้อมขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอท่านทรงสงเคราะห์ให้เรารู้ว่า คนนี้ติดขัดตรงไหน ควรจะแนะนำในการปฏิบัติอย่างไร เมื่อปูน้อมรับคำแนะนำของอาจารย์คณานันท์ มาปฏิบัติ ก็พบว่าธรรมะที่ออกจากปากเราไปนั้น หลายๆครั้งเป็นเรื่องที่เราไม่เคยทราบมาก่อนเลย ตัวเราเองยังนึกไม่ถึง เมื่อเวลาผ่านไปหลายๆเรื่องได้รับการยืนยันจากบันทึกคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ซึ่งก็เหมือนกับว่าในระหว่างที่เราขอบารมีพระแนะนำธรรมะให้กับผู้อื่นนั่นก็คือ ท่านก็สอนปูไปด้วยพร้อมๆกัน

    ย้อนมาตรงที่ปูอารมณ์หนัก ไม่สามารถแนะนำหรือช่วยเพื่อนในข้อติดขัดได้นั้น เมื่อมาพิจารณาดูก็ใช่ เพราะเราลืมน้อมขอบารมีพระ นั่นเอง ใช้กำลังของตัวเราเองล้วนๆ มันคือตัวกิเลสที่สำคัญที่นอนเนื่องอยู่ในจิตของเรา ที่ชอบทำให้ผิดพลาดไปจากความดี คือตัวมานะทิฐิ คิดว่าตัวเราเก่ง เราแน่ เรารู้ดีทุกอย่าง เลยเผลอใช้ประสบการณ์ตัวเอง ความคิดตัวเอง กิเลสตัวเองแนะนำผู้อื่น ทำให้นึกถึงคำของครูบาอาจารย์ในหนังสือธรรมะที่ปูเคยอ่านเจอเมื่อนานมาแล้วใจความว่า มีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นสัพพัญญู ทรงรู้ทุกสิ่ง

    และจากในหนังสือปฏิปทาของท่านผู้เฒ่า ตอนที่หลวงปู่ปานท่านให้ท่านผู้เฒ่าเข้ามาพบ มีเนื้อความว่า

    เมื่อถึงวันที่ ๑๕ผ่านไป รุ่งขึ้นหลวงพ่อปานเรียกเข้าหาเป็นส่วนตัวเวลากลางคืนสักสองทุมเศษ หลังจากที่ท่านคุยกับพระบริษัทของท่านเพื่อเป็นการปลุกใจให้สร้างความดีแล้ว ท่านก็บอกว่าขอพบเป็นส่วนตัว เมื่อเข้าในกุฏิท่านก็ถามว่า คุณเล่นกสินสลับไปสลับมาจนคล่องตัวแล้วใช่ไหม ท่านบอกว่าใช่ ท่านก็ถามหลวงพ่อท่านทราบได้อย่างไร หลวงพ่อปานท่านก็บอกว่า "พระท่านบอกฉัน ฉันไม่ใช้กำลังใจของฉันให้เป็นประโยชน์ แต่ว่าถ้าฉันใช้ความรู้ที่ฉันมีอยู่แล้วก็เกรงว่าอุปาทานจะกิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่จะรู้ได้ก็เพราะอาศัยพระท่านคอยบอกฉัน"

    พออ่านแล้วยิ่งทำให้ปูซาบซึ้งในความสำคัญของการขอบารมีพระท่านมากขึ้นค่ะ ปูเคารพพระพุทธเจ้า หลวงปู่ปาน หลวงพ่อฤาษี ครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ท่านได้สั่งสอนมาตลอด ปูจะพยายามเจริญรอยตามท่าน ขอน้อมนำคำสั่งสอนมาขัดเกลากิเลสและการปฏิบัติของตนให้มากขึ้นค่ะ

    ขอน้อมกราบพุทธเมตตาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเมตตาประทานพร ขอให้ทุกท่านมั่นคงในพระรัตนตรัย ในสัมมาทิฐิ และคุณงามความดีในจิตใจ สามารถปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โดยง่าย สำเร็จโดยฉับพลันทันใด ตราบเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 30 เมษายน 2010
  6. namsompun

    namsompun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,365
    [​IMG]
     
  7. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post3233980 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->tamsak<!-- google_ad_section_end --> [​IMG]<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3233980", true); </SCRIPT>
    ทีม พระไตรปิฏก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Sep 2004
    สถานที่: Bangkhen, Bangkok
    อายุ: 46
    ข้อความ: 6,014
    Groans: 132
    Groaned at 36 Times in 23 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 87,908
    ได้รับอนุโมทนา 111,465 ครั้ง ใน 5,717 โพส
    พลังการให้คะแนน: 6957 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3233980 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><CENTER><!-- google_ad_section_start -->รู้สึกว่าตัวเองดีเมื่อไร ให้รู้ว่าตัวเองใกล้พังเต็มทีแล้ว<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--zone = "15";url = "http://ads.palungjit.org";//--></SCRIPT><SCRIPT src="http://ads.palungjit.org/show.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT language=JavaScript src="http://ads.palungjit.org/show.php?z=15&w=0&pl=0&ad_type=0&shape=0&c_border=0&c_background=0&c_text1=0&c_text2=0&c_text3=0&c_text4=0&c_text5=0&c_text6=0&c_text7=0&c_text8=0&c_text9=0&c_text10=0&code=1272675952484"></SCRIPT>
    ถาม : (พระหลวงตาถามปัญหา)

    ตอบ : หลวงตาครับ... อะไรบางอย่างที่มันเกิดขึ้น จริงๆ มันไม่ใช่เรื่องของเรานะ ถ้าหากว่าเรารับเข้ามา มันทำให้เราวุ่นวายเสียเปล่าๆ สำคัญที่สุด ต้องรักษาใจของเราให้ดี ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูกหรอกครับ มันเป็นสมมติทั้งนั้น ทุกคนต่างเห็นว่าสิ่งที่ตนเองทำดีแล้วทั้งนั้นถึงได้ทำ แต่จริงๆ แล้ว อาจดีแค่นั้น ถูกแค่นั้น ส่วนที่ดีกว่านั้น ถูกกว่านั้นยังมี เราต้องหาให้เจอ ที่อะไรล่ะ ?

    สิ่งที่บรรพชิตต้องพิจารณาเนืองๆ หลวงตาคงศึกษามา ที่บอกว่า กายวาจาใจ ที่ดีกว่าอย่างนี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจนั้น เราติตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ? ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วติเราโดยศีลได้หรือไม่ ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราสมควรจะต้องทำ เรื่องอื่นมันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าตราบใดที่เรายังหวังพึ่งพิงคนอื่นอยู่ ตราบนั้นเราก็ยังเดินเองไม่ได้ ยืนเองไม่ได้ คนอื่นจะเป็นแบบอย่าง จะเป็นบทเรียน จะเป็นสิ่งที่เราอาศัยเพื่อก้าวไปสู่จุดหมายสิ่งที่เราต้องการ ต่อให้เป็นกัลยาณมิตรที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ตาม เพื่อนสหธรรมมิกก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราอาศัยได้ระดับนี้เท่านั้น สุดท้ายก็ต้องอัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตนเอง

    เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น บอกตรงๆ ว่าเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น ไม่ใช่ของเรา ใครเขาจะมีความคิดอย่างไร ใครเขาจะมีความเห็นอย่างไร ก็ไม่ต้องไปฟุ้งซ่านตามเขา รักษาใจเราให้ดีก็พอ มันปกติของเราบางทีมันก็อดไม่ได้ใช่ไหม ? ถึงเวลามันก็ต้องคิดบ้างใช่ไหม ?

    ถาม : เข้าใจแล้วครับ ?

    ตอบ : ของเราเองก็ไม่ต้องไปใส่ใจมันหรอก ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งก็พอ เรื่องพรรค์นี้ต่างคนต่างความเห็น ต่างคนต่างความคิด ประเภทความเห็นไม่ตรงกัน สำหรับฆราวาสการพนันมันเลยเกิดใช่ไหม ? ของพระความเห็นไม่ตรงกันขัดคอกันมันก็มี อยู่สุขอยู่สบายเกินไป มันก็ไม่ใช่โลกสินะ คำว่าโลกนี้เป็นทุกข์ครับ อนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้ ผมเองนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล พอได้ข่าวก็เออ...มันชักจะไปกันใหญ่แล้วล่ะ

    ถาม : .....................................

    ตอบ : มารเขาจะพยายามดึงเราออกจากความดี ทีละนิดๆ โดยเฉพาะเขาจะให้ความสามารถจนเรานึกไม่ถึง แต่มันไม่ใช่ความสามารถจริงๆ ของเรา มันเป็นความสามารถที่เขาให้ แล้วเขาจะดึงเราให้เป๋ไปจากพระธรรมวินัยไปทีละน้อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็เสร็จเขาไปแล้ว

    แล้วส่วนอื่นทั้งหมดจะเป็นลักษณะที่ว่า ทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อสงเคราะห์เขา ซึ่งเป็นจริตนิสัยของตัวเอง แต่ว่าลักษณะของการทำไปทำมาเขาจะชักให้เป๋ไปได้เอง

    คนเรามีวิสัยทางด้านไหน เขาก็จะเอาตัวนั้นแหละมาหลอก ส่วนนี้ต้องระวังให้มากๆ เชื่อตัวเองไม่ได้เด็ดขาด รู้สึกว่าตัวเองดีเมื่อไร ให้รู้ว่าตัวเองใกล้พังเต็มทีแล้ว

    สมัยก่อนผมเคยเตือนท่านทีหนึ่ง จนท่านไม่อยากดูหน้าคน หนีเข้าป่าไปเลย แล้วลูกศิษย์ไปตามออกมาใหม่ ตามออกมาใหม่ก็ตั้งท่าได้อยู่ระยะหนึ่ง ระวังไว้แล้วก็เผลอเสร็จไปอีก แต่แหม... พระเขาก็ทำรุนแรงกัน แล้วผมมารู้ทีหลัง ว่าเขามาอ้างชื่อผมด้วย ไปกันใหญ่ เรานอนป่วยอยู่โรงพยาบาลแท้ๆ กลายเป็นหัวหน้าทีมไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ เอาเถอะ เราทำมาขนาดนี้แล้ว ถ้าบางอย่างมากระทบแล้วเราท้อถอย มันจะเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ ฉะนั้นก็ทำตัวเหมือนบ้านว่างๆ ไม่มีหลังคา ไม่มีข้างฝา ขว้างมามันก็เลยไปหมด ถ้ามีข้างฝา มีหลังคา เสียงมันปึงปัง เราก็รู้สึกไปกระทบ

    สมัยก่อนผมทำ นั่งกำหนดใจเหมือนกับอยู่ในห้องว่างๆ ไม่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง ไม่ว่าอะไร ไม่รับทั้งนั้นแหละ ทำเหมือนบ้านว่าง ไม่มีให้ขว้างหรอกครับ หลังคาก็ไม่มี ข้างฝาก็ไม่มี มันเลยไปหมด พอทำๆ แล้วก็ เออ... ดีเหมือนกันแฮะ มันไม่ต้องไปรับแรงกระทบของใคร

    ถาม : แล้วถ้ามีใครมาถาม ?

    ตอบ : ไม่ควรยุ่งเลยครับ คือในระหว่างนั้นนี้ ต่างคนต่างทำ ถ้าเราไปเข้าข้างใครก็จะกลายเป็นคนผิดในสายตาของอีกคนหนึ่ง นิ่งไว้เสียดีกว่า นานๆ ไปอะไรจะชัดเจนขึ้น ในช่วงนั้นถ้าเราไปใส่อารมณ์ตามใคร มันจะขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง โอกาสที่ถูกมันน้อย เรื่องของทิฐิความเห็นนี่พูดยาก ดูที่ตัวแก้ที่ตัว ดูแค่นั้น ดูผิดที่เมื่อไรก็ลำบาก จำไว้ว่าเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลกทั้งหมด เราแก้ไขโลกไม่ได้ เราต้องดูที่ตัวแก้ที่ตัว แก้ไขโลกมันเกินกำลังไป ดีชั่ว ใครทำ คนนั้นรับ ถ้าหากว่าเขาไม่ละอายชั่วกลัวบาป เขาสามารถทำของเขาได้ เราเองก็ถอยห่างออกมา แต่ขณะเดียวให้ดูว่าตัวของเราเองเป็นอย่างไร มีความดีส่วนไหนที่ควรจะเร่งทำ มีความชั่วส่วนใหญ่ที่เราจะละให้หมดไป ให้ตั้งหน้าตั้งตาแก้ไขตรงจุดนั้น ดูที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง อัตตา โจทะยัตตานัง กล่าวโทษโจทย์ตัวเองอยู่เสมอๆ อย่าเข้าข้างตัวเอง ให้เห็นอยู่เสมอว่าจริงแล้วๆ ที่เกิดขึ้นนั้น เราเป็นคนผิด ถ้ามันหาจุดผิดไม่ได้ ก็ผิดตั้งแต่เกิดมาแล้ว อยากเกิดมาเอง รับยากเหมือนกัน ถ้าไม่เกิดมามันไม่เจอหรอก ไม่รู้จะโทษใคร โทษตัวเองสบายใจที่สุด



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ



    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...hread.php?t=26


    http://palungjit.org/threads/รู้สึกว่าตัวเองดีเมื่อไร-ให้รู้ว่าตัวเองใกล้พังเต็มทีแล้ว.236793/


    .

    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->สร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 10 วา
    http://www.palungjit.org/board/showthread.php?t=65729


    ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ "สมเด็จองค์ปฐม" ก้บวัดธรรมยาน

    http://palungjit.org/threads/ร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์-สมเด็จองค์ปฐม-ก้บวัดธรรมญาณ.119095/<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    [​IMG]
     
  9. TiDa's Little BUDDHA

    TiDa's Little BUDDHA สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +8
    ดิฉันกำลังศึกษาพระพุทธศาสนาด้วยจิตตั้งมั่น เพื่ออยากจะหลุดพ้นจากวัฏสงสารและจะได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน แต่ด้วยความรู้ที่มียังน้อยนิดและจิตที่สงสัยตลอดเวลาจะเป็นอุปสรรคและขาดสมาธิบางขณะจะแก้ไขอย่างไร?ไม่ให้ฟุ้งฟ่านและไม่สงสัยเกินความสมควร หรือเกิดอาการย้ำคิดย้ำทำในบางเวลาเมื่อตื่นนอนสับสนว่าเรานอนหลับฝันว่ากำลังสวดมนต์ท่องคาถาเหตุการณ์เหมือนกับเกิดขึ้นจริง และในที่นั้นๆมีฉันเห็นท่านพระอาจารย์เจกิที่ดิฉันศรัทธาอย่างยิ่งด้วย และการที่ดิฉันท่องพระคาถาบทสวดมนต์แล้วเกิดความสงสัยว่าคาถาจะถูกหรือไม่และจะสรรหามาเปรียบว่าพระคาถาไหนที่ถูกต้องที่สุด แต่ที่สุดแล้วการจะท่องบทสวดอะไรก็ตามขึ้นกับจิตของเราใช่ไหมคะว่าเรานั้นมีจิตอย่างไรในขณะนั้น

    แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญใช่ไหมคะจะขึ้นอยู่กับผลบุญกุศลกรรมของแต่ละคนที่ได้ทำ
    ซึ่งคิดและทำอย่างไรก็ได้ฉันนั้น

    ดิฉันรู้สึกปิติอย่างหาที่สุดไม่ได้ที่ได้เกิดมาในดินแดนพระพุทธศาสนาและเป็นคนไทยที่หลากหลายเชื้อชาติมารวมกัน และดิฉันต้องการที่จะรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนานี้สืบไป จะมีวิธีใดบ้าง เนื่องด้วยเวลา ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและสตรีอย่างดิฉันจะต้องทำอย่างไร
    หรือจะกระทำได้เพียงปฏิบัติตนและให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เท่าที่พละกำลังของดิฉันจะทำได้?โปรดชี้แนะข้าพเจ้าด้วยขอขอบพระคุณทุกๆท่านที่ได้ให้องค์ความรู้ที่หลากหลายมากมายเหลือเกินแก่ดิฉัน
    ดิฉันสำนึกและศรัทธาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้คือ พระโคตมะพุทธเจ้า

    ในวันนี้ดิฉันมีพระคาถาจากหลวงปู่เกลี้ยง ณ วัดศรีธาตุให้ทุกท่านได้ทราบรับรู้เช่นเดียวกันกับที่ดิฉันได้รับจากท่านพระอาจารย์หลวงปู่ มีดังนี้

    คาถาหัวใจพระอรหันต์
    สัมมา อาระหัง
    อิติมานัง สุขขัง โหตุ
    สัพพะทา
    (ค้าขายดี/ป้องกันภัย/เมตตา)

    คาถาล้างบาป
    อะโห สุขขัง ปะรามัง สุขขัง
    ท่องเจ็ดจบก่อนล้างหน้า เป่าใส่น้ำแล้วนำไปล้างหน้า
    (หันหน้าไปทางทิศตะวันออก)
     
  10. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post341861 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_341861 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><TABLE width=600 border=0><TBODY><TR align=middle><TD>เคล็ดลับแห่งธรรมปฏิบัติของ ลุงยกทรง</TD></TR><TR align=right><TD></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR bgColor=#000000><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=1 width=600 border=0><TBODY><TR align=middle><TD class=row1 bgColor=#ffffff><TABLE width=550 border=0><TBODY><TR><TD>หน้าที่ประจำทุกๆ วัน
    1. ตื่นนอน วันนี้ลูกจะทำความดีให้มากที่สุด ตายเมื่อไรขอไปนิพพานชาตินี้
    2. รักษาศีล 5 หรือ 8 หรือ กรรมบท 10 อย่างน้อยวันละ 10 นาที หลังจากตื่นนอน ( คือขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า ได้โปรดสงเคราะห์ให้ลูกรักษาศีล 5 ให้ครบภายใน 10 นาทีนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า)
    3.ทำบุญวันละ 1 บาท ตั้งนะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3จบ)
    4.ภาวนา พุท-โธ หรือ นะมะ-พะธะ หรือ นิพพาน-นิพพาน
    5.อาราธนาพระพุทธเจ้า ขออาราธนาพระพุทธเจ้า ประทับบนศีรษะของลูก ตลอดทั้งวันด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
    6.ขอขมาลาโทษ ข้าพระพุทธเจ้า ขอกราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัย ขอได้โปรดยกโทษให้กับข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดนี้เถิด
    7.กราบหมอน พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา ปลอดภัย ทุกเวลา ด้วยนะโมพุทธายะ
    8.พิจารณาร่างกาย เหม็นเน่า น่ารังเกลียจ คน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย พังสลายหมด หากตายตอนนี้ ขอนิพพานเลย
    9.นอนภาวนา ถนัดบทไหนขึ้นหมดนั้นก่อนเช่น ภาวนา พุท-โธ แล้วต่อด้วย

    ........คาถาเงินล้าน
    สัมปะจิตฉามิ นาสังสิโม พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ พรหมา จะ มหาเทวา
    อภิลาภา ภะวันตุเม มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม มิเตพาหุหะติ พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ
    สวาโหม สัมปะติจฉามิ เพ็ง เพ็ง พาพา หาหา ฤาฤา
    10.กลางคืน ตื่นนอนตอนไหน ให้ภาวนาตามใจชอบทันที ภาวนาจนหลับต่อไป อย่างนี้จะมีผลมากแล
    วิธีทวงหนี้และชนะศัตรู ผลบุญที่ข้าพเจ้าทำมาแล้วทั้งหมดนี้ ขออุทิศเจาะจงให้กับ เทพที่ปกปักรักษาและ
    เจ้ากรรมนายเวรชื่อ..........นามสกุล..............โปรดรับ โปรดโมทนาและได้โปรดสงเคราะห์ ให้เป็นไปตาม
    ความปรารถนาของข้าพเจ้า ณะ กาละบัดนี้ เถิด
    ขออาราธนาบารมีพระรัตนตรัย พรหมเทพเทวาทั้งหลายมีหลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุงเป็นที่สุด ขอให้ รวย รวย รวย
    โดยฉับพลันและนิพพานชาตินี้โดยทั่วหน้ากันทุกๆ ท่านเทอญ
    อภินันทนาการจากลุงยกทรง วีระ งามขำ วัดท่าซุง 60/3 หมู่1 ต. น้ำซึม อ. เมือง จ. อุทัยธานี 61000<!-- google_ad_section_end -->





    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- google_ad_section_end -->
    http://palungjit.org/threads/ข่าวด่วน-ลุงยกทรงเสียแล้ว.53352/

    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Forever In LoVE

    Forever In LoVE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,349
    ค่าพลัง:
    +3,864
    -------------


    คู่มือ วิชชาที่จะทำให้อยูรอดฯ โหลดไปอ่านได้แล้วครับ


    คู่มือเล่มนี้ ขอเรียกว่าคู่มือนะครับ

    ได้จัดทำขึ้นตามความประสงค์ของ คุณ Xorce
    โดยมอบข้อมูลมาให้กระผม(num_mon.) จัดทำเพื่อเผยแพร่ความรู้(.pdf)
    ของเดิมมีอยู่แล้วนะครับ
    ลงชื่อรอรับ วิชชาที่จะทำให้อยูรอดฯ ฉบับพื้นฐานค่ะ

    เรื่องวิชชา ที่จะทำให้อยู่รอดจากภัยพิบัติ

    ซึ่งเป็นคู่มือของกลุ่มพลังจิตพิชิตภัย
    (หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยมาณ ที่นี่ด้วย ยินดีรับติชม เพื่อแก้ไขปรับปรุงครับ)


    [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG]


    บุญกุศล แลความตั้งใจดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้า และผู้จัดทำคู่มือเล่มนี้
    ได้สร้างสมมาอันมีประมาณเท่านี้ ขอให้ผลบุญนี้
    จงเป็นปัจจัย ให้ข้าพเจ้าและท่านทั้งหลาย
    ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วย เทอญ สาธุ.




    <!-- google_ad_section_end --> <fieldset class="fieldset"> <legend>รูป ขนาดเล็ก</legend> [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    </fieldset> <fieldset class="fieldset"><legend>ไฟล์แนบข้อ ความ</legend> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> <td>หนังสือ วิชชา.pdf (1.59 MB, 1719 views)</td></tr></tbody></table></fieldset>
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ญาณเครื่องรู้ที่เป็นสัมมาทิฐินั้น รู้เพื่อละ รู้เพื่อวาง รู้เพื่อให้เห็นวิปัสนาญาณในกฏไตรลักษณ์การเกิดขึ้น การตั้งอยู่ การดับไปไม่เที่ยงให้เห็นชัดเจนครับ

    ไปดู ไปรู้ แล้วยึด ไปเกาะ ไปหลง เป็นมิจฉาสมาธิ

    เราจะต้องมี ปัญญาพิจารณาประกอบในการปฏิบัติ

    รู้อะไรมา ก็พักตัวรู้เอาไว้ ในอุเบกขารมม์ก่อน

    จากนั้นใช้ปัญญาพิจารณา ว่า

    ธรรมนั้น

    ญาณเครื่องรู้นั้น

    ประกอบไปด้วย คุณ เมื่อน้อมนำไปปฏิบัติ แล้ว กิเลสเบาบางลง จิตเบา จิตสะอาด จิตสงบ มีผลมีอานิสงค์แห่งการปฏิบัติจริง

    จึงค่อยน้อมนำไปสู่ภายในจิต ในใจของเรา

    อุปมาดั่งเรารับ น้ำมาจากบุคคลใดก็ตาม

    เราพักน้ำในแก้วก่อน พิจารณาก่อนว่า น้ำนั้นสะอาด หรือสกปรก

    หากสะอาดจึงค่อยดื่ม

    หากพิจารณาเห็นแล้วว่าน้ำสกปรก เราก็เททิ้งเสีย

    ธรรมที่ได้ฟังก็ดี

    สรรพวิชาทั้งปวงก็ดี

    ญาณเครื่องรู้ทั้งหลายก็ดี

    เราหยุด ตั้งสติสัมปชัญญะ พิจารณา ในอุเบกขารมณ์ก่อน

    ใช้ธรรมวิจัยยะ มาตรึก มาตรอง มาพิจารณา มาจำแนกแยกแยะก่อน

    พิจารณา โดยลำดับไปจนสุดสายแห่งการพิจารณา โดยอนุโลม

    พิจารณา ย้อนกลับ หาที่มา หาเหตุ โดยปฏิโลมให้เห็นธรรม โดยถ้วนทั่ว ครอบคลุม

    เป็นการพิจารณาโดยแยบคาย แล้วจึงค่อยเชื่อ

    ดั่งนี้ ญาณที่ปรากฏจึงเป็นญาณทัศนะอันวิสุทธิ์เป็นไป เพื่อสละสิ้นในกิเลส ตัดสังโยชน์สิบ เห็นทุกข์ เห็นอริยสัจจ์ เห็นสังสารวัฏฏ์

    จนพบพระนิพพานในที่สุด
     
  13. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    เมื่อวันก่อน พระท่าน มาสอนในการพิจารณาเกี่ยวกับความเป็นสัมมาทิษฐิ มิจฉาทิษฐิ

    ท่านบอกให้ลองเทียบในสองอารมณ์ ต่อไปนี้

    อารมณ์แรกก็คือ อารมณ์ที่บุคคล ทำงานเพื่อนส่วนรวม แต่ว่า ตั้งกำลัง ตั้งคำอธิษฐาน เพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเอง

    เช่น การอานิสงค์นี้เป็นไปเพื่อให้ข้าพเจ้า ได้ยิ่งใหญ่ ได้ลาภยศสรรเสริญ ได้เป็นคนนู้น คนนี้ ในอนาคตกาล

    จากนั้นผมก็ลองตั้งจิตอธิษฐานตามนั้น
    แล้วก็ดูอารมณ์ของตัวเอง

    จะรู้สึกได้จิต มีอาการ บีบตัว อึดอัด มีความหนักของมานะทิษฐิในขั้นละเอียด เป็นอาการหนักลึกๆ ฟูนิดๆข้างใน
    ความเย็นจากเมตตาก็ เสื่อมลงไปเพียงตั้งคำอธิษฐานเพื่อตัวเองเท่านี้

    ต่อมาพระท่านจึงให้เราตั้งจิตอธิษฐานในงานส่วนรวม เพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

    เช่น ข้าพเจ้านั้นไม่สนว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นคนนู้น คนนี้ในอนาคต
    ขอเพียงแค่สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เข้าถึงซึ่งความดี เข้าถึงซึ่งความงดงามในจิตใจ
    พระบวรพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ตราบเท่า5000วสา มากด้วยพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า พระสุปฏิปัณโณ พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยโพธิสัตว์เจ้า พระมหาโพธิสัตว์เจ้า
    ยังความสุข แห่งธรรมปีติให้บังเกิดขึ้นแก่ทุกดวงจิตในจักรวาล อนันตจักรวาลนี้

    แล้วก็มาลองดูอารมณ์จิตของตัวเอง
    ก็พบว่าเมื่ออธิษฐานเพื่อส่วนรวมโดยเพียวๆ ไม่มีเจือด้วยมานะ ด้วยความอยากยิ่งใหญ่ของเราเอง

    จิตก็เกิดความเบิกบาน ความสว่าง อาการที่แผ่ออก แย้มยิ้มชุ่มเย็น เบาสบายเมตตาก็เย็นขึ้นกว่าเดิม

    เท่านี้ผมจึงได้ทราบว่า บุคคลที่อธิษฐานเพื่อตัวเองนั้น ไม่อาจจะเป็นคนนั้น คนนี้อย่างที่ตัวเองปรารถนาได้

    เพราะผู้ที่ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่อสาธารณประโยชน์ โดยส่วนเดียวเท่านั้น
    จึงจะสามาถเข้าถึงซึ่งสภาวะอันยังประโยชน์แก่ผู้อื่นได้

    แล้วพระท่านจึงสอนต่อว่า
    แม้เราจะทำงานเพื่อส่วนรวม แต่การที่เราอธิษฐานเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเองนั้น
    จะทำให้เราถูกฟอกย้อมโดยมานะทิษฐิ ทีละนิด ทีละหน่อย
    จนกระทั่งเกิดการแทรกของมิจฉาทิษฐิ การแทรกของกิเลสมาร

    จนกระทั่งฌาณ ญาณ สมาธิ เมตตา มโนมยิทธิทั้งหมด จะค่อยๆเฝือ และสลายตัวไปจนหมดสิ้น
    เมื่อตายจากชาตินี้แล้วก็ต้องเสวยวิบาก อันเกิดขึ้นจากความเก่งของตัวเราเอง

    อุปมาเหมือนเราขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น

    ในแบบแรกก็คือ คุณมาช่วยผม ให้ผมเพียงคนเดียว ได้เก่ง ได้ยิ่งใหญ่ ได้มีลาภยศสรรเสริญหน่อยสิ

    มีใครอยากจะช่วยไหม
    ก็ไม่มี

    กับแบบที่สอง เราช่วยกันทำเพื่อค้ำจุนพระศาสนา เพื่อช่วยสงเคราะห์ให้ผู้อื่นมีความสุข เข้าถึงซึ่งจิตใจอันงดงามกันเถอะ

    ก็ย่อมมีคนอยากช่วยเรามากกว่า

    แต่ในความเป็นจริงที่มาช่วยนั้น มีตั้งแต่ มนุษย์ เทวดา พรหม ตลอดจนถึงทุกท่านบนพระนิพพาน

    เวลาเราทำเพื่อตัวเอง มนุษย์ เทวดา พรหม ตลอดจนถึงทุกท่านบนพระนิพพาน ท่านก็ไม่ช่วยเราแม้แต่น้อยเช่นกัน

    ครูบาอาจารย์ท่านจึงถามผมว่า
    ไหนลองคิดซิ สมมุติว่า ไอที่เราคิดว่าเราเป็นนู่น เป็นนี่ เป็นนั่น
    ถ้ามันไม่เป็นล่ะ ถ้ามันไม่ใช่เลย มันไม่ใช่เราเลย
    ตำแหน่งนั้นเป็นของผู้อื่นล่ะ

    ถ้าเราไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง ของโลก ของบุคคล อย่างที่เราคิดล่ะ

    เราจะทำเพื่อส่วนรวมต่อไปไหม
    เหนื่อย โดยที่ไม่ได้อะไรตอบแทน นอกจากเห็นผู้อื่นมีความสุข
    ไม่มีลาภยศ สรรเสริญ อะไรทั้งหมด อีกล้าน สิบล้านปี ร้อยล้านปีก็ไม่มีให้เรา
    เราจะทำเพื่อส่วนรวม เพื่อผู้อื่น เพื่อจิตใจที่งดงามต่อไปไหม

    ถ้าเรายังทำต่อ นั่นแหละเราถึงจะสอบผ่าน
    ถ้าเราไม่ทำต่อ หากไม่มีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า นอกจากรอยยิ้มในหัวใจของผู้อื่น
    นั่นแหละเราสอบไม่ผ่าน

    ผมจึงบอกตัวเองเสมอว่า "ถ้าเราจะทำเพื่อตัวเอง จะสงเคราะห์ตัวเองนะ
    เราลาไปพระนิพพานซะจะดีกว่า เพราะนั่นแหละคือการสงเคราะห์ตัวเองอย่างแท้จริง

    ที่พระโพธิสัตว์ทุกๆท่าน ยังบำเพ็ญบารมีต่อ ก็เพื่อผู้อื่นโดยส่วนเดียว
    หากยังทำเพื่อความดีของตัวเอง เป็นพระโพธิสัตว์ไม่ได้หรอก เป็นพุทธภูมิก็ไม่ได้
    เป็นได้แต่พุทธพัง เมื่อเมตตามันเสื่อมไปแล้วก็เป็นพุทธพัง พังจากความดี ตายจากความดี ตายจากปฏิปทาเพื่อสาธารณประโยชน์เสียแล้ว"

    พุทธพังนี่ผมเอาไว้ด่าตัวเอง เพื่อทบทวนกำลังใจของตัวเองเท่านั้น ไม่มีการพาดพิงถึงผู้อื่นแม้แต่ประการใด

    ดังนั้นเราก็สามารถรีเช็คตัวเองได้ทุกครั้ง โดยแผ่เมตตาให้เย็นที่สุดเท่าที่ทำได้

    แล้วเราก็คิดในสิ่งที่เราจะทำ หากสิ่งที่เราคิดนั้น เป็นไปด้วยสัมมาทิษฐิ เป็นไปเพื่อสาธารณประโยชน์ เป็นไปเพื่อการสงเคราะห์ผู้อื่นอย่างแท้จริง
    ความเย็นของเมตตาจะต้องเพิ่มขึ้นกว่าเดิม

    แต่หากสิ่งที่เราคิดเป็นไปเพื่อมิจฉาทิษฐิ เพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเอง เป็นไปเพื่อกระตุ้นมานะทิษฐิ ความเก่งอันแทบจะไม่มีอยู่จริงของตัวเอง

    ความเย็นของเมตตาของเราก็จะกระเพื่อม จะลดลง จนแห้งผากในที่สุด

    เมื่อนั้นเราก็ทราบว่า ไม่ได้ๆ เราเริ่มเป็นมิจฉาทิษฐิแล้วนะ เราก็จูนจิตกลับมาให้เป็นสัมมาทิษฐิ ให้เย็นด้วยเมตตาอีกครั้ง

    สิ่งที่ถ่ายทอดออกมา ทั้งทางกาย วาจา ใจ แล้วทำให้เมตตาของเราเหือดแห้ง ล้วนเป็นมิจฉาทิษฐิทั้งสิ้น
    สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาทางกาย วาจา ใจ แล้วยังให้จิตของเราเปี่ยมด้วยเมตตา ยังให้จิตของผู้รับเปี่ยมด้วยความงดงาม เบิกบาน แย้มยิ้ม ชุ่มเย็นในธรรมปีติ ก็ล้วนเป็นสัมมาทิษฐิทั้งสิ้น

    หลักการเช็คกำลังใจของตัวเองก็มีง่ายๆเพียงเท่านี้


    เราทำความดี เพื่อความดีของผู้อื่นอย่างแท้จริง ความเป็นสัมมาทิษฐิก็ไม่อื่นไปจากนี้

    จิตใจที่ดีงามจะคงอยู่ตลอดไป ทั้งในจิตของเรา และในจิตทุกๆดวง

    ตราบใดที่แสงสว่างแห่งเมตตา ยังคงสาดส่อง ถึงทุกดวงจิต ทุกสรรพชีวิต

    ประดุจดวงพระอาทิตย์อันส่องสว่าง ให้ความสว่าง ให้ชีวิต ให้ความหวัง ท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2010
  14. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,002
    ค่าพลัง:
    +17,625
    ขออนุญาติลงบันทึกธรรมส่วนตัวเผื่อเป็นประโยชน์ให้กับญาติธรรมไม่มากก็น้อยนะครับ ^^

    candle9.jpg

    2010/02/28

    เรื่อง เงามืดย่อมมีแสงสว่างอยู่ภายในเสมอ
    ในเงามืดย่อมมีแสงสว่างอยู่ภายในเสมอ คนที่เราเห็นว่าไม่ดีนั้นก็ย่อมมีความดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ความสว่างในเงามืดเปรียบได้กับความดีของผู้นั้น ถ้าสว่างมากก็ดีมาก สว่างน้อยก็ยังถือว่ายังมีความดีให้สว่างได้เหมือนกัน ฉะนั้นอย่าประเมินค่าหรือดูถูกเหยียดหยามคนที่เราเห็นว่าไม่ดี ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจ ยังมีความสว่างอันน้อยนิดก็ตาม เขาก็ยังมีโอกาสกลับใจ ทำความดีได้ ต่อเทียนให้แสงสว่างภายในจิตใจเขาให้บริสุทธิ์ได้ ดั่งพระองคุลีมาร


    เรื่อง ดูจิต กับ อิทธิบาท 4

    ฉันทะ...มีความพอใจกับการดูจิต
    วิริยะ...มีความเพียรพยายามกับการดูจิต
    จิตตะ...จิตจดจ่อกับการดูจิต
    วิมังสา...ใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญรักษาจิตให้บริสุทธิ์


    2010/03/02

    เรื่อง สถานที่ปลอดภัยที่สุด

    จาก วันนั้น...จนถึงวันนี้...ก็ทำให้ผมคิดได้ว่า...

    ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยที่สุดในโลกนี้...นอกจากพระนิพพาน

    ตราบใดที่เรายังวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้...ก็ยังหนีไม่พ้น ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไปได้

    แต่แล้วในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจอยู่ในทุกวันนี้ และอยู่ภายใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา ก็นับได้ว่าเป็นบุญมากแล้ว ที่จะได้สั่งสมบุญบารมี ปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น เพื่อความถึงที่สุดแห่งธรรม ต่อเมื่อเราได้เห็นฝั่งแล้วและปรารถนาที่จะนำความสุข ความเจริญ มาให้กับผู้ที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางในวังวนแห่ง
    วัฏสงสาร นี้ ได้สัมผัส ได้ลิ้มรสพระธรรมให้เขาได้พ้นทุกข์ทางใจได้แล้ว เขาก็จะไม่มีความกลัว ความทุกข์ใจ ให้กังวลอีกเลยว่าเขาจะตายเมื่อไหร่ เพราะเขาเตรียมจิตเตรียมใจให้พร้อมอยู่กับความตายอยู่เสมอ และยังประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และมวลมนุษยชาติต่อไป

    เรื่อง ได้เป็นไม่สำคัญเท่ากับได้ลงมือทำ

    การที่จะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี...พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็ดี... พระอริยสาวกก็ดี...พระเจ้าจักรพรรดิก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว

    เพราะผู้ที่จะสามารถเป็นได้นั้นก็ล้วนมีคุณธรรมอยู่ในจิตในใจ ฝึกฝน อบมรม บ่มเพาะ จิตใจของตน เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ได้อธิฐานไว้

    แต่การได้เป็น(ซึ่งก็หมายถึงตำแหน่งในทางโลก เพราะทางโลกเขาต้องใช้ภาษาในการสื่อสาร) ก็ไม่สำคัญเท่ากับการได้ลงมือทำ ได้ปฎิบัติ จนกระทั่งจิตใจของผู้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมในระดับที่ชาวโลกยกย่องผู้ นั้นให้เป็นแบบนั้น...

    แต่ในความเป็นก็มีความไม่เป็นอยู่ภายใน ถึงความเป็นจะแตกต่างกัน แต่ความไม่เป็นก็เหมือนกันหมด เพราะทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนต้องมีความเสื่อมสลายตายจากกันไปด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น...

    2010/03/03

    เรื่อง รวงข้าวยิ่งสุกงอมยิ่งโน้มลงสู่พื้นดิน

    บุคคลที่มีคุณธรรม มีบุญบารมี มีกำลังใจที่สูงแล้วนั้น ย่อมยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนมาก เปรียบเสมือนรวงข้าว
    ยิ่งแก่ยิ่งสุกงอมสมบูรณ์มากเท่าใด ก็ยิ่งน้อมรวงลงต่ำ...เรี่ยรวงโน้มลงสู่พื้นดิน...ฉันใดก็ฉันนั้น

    2010/03/05

    เรื่อง อายุไข

    อายุไขของคนเราก็เปรียบเสมือนกับไส้ เทียน...
    ถ้าไส้เทียนยาวมากก็สามารถให้แสงสว่างได้ยาวนาน
    ถ้าไส้เทียนยาวน้อยก็ให้แสงสว่างได้ไม่นานนัก
    แต่ทั้งนี้ไม่ว่าไส้เทียนจะยาวมากหรือยาวน้อย...ก็ให้ความสว่างเท่ากัน
    เปรียบเสมือนคนเราแต่ละคนมีอายุไขไม่เท่ากัน...แต่เกิดมาแล้วก็มีโอกาส มีความสามารถในการแสวงหาปัญญา ธรรมะเพื่อความหลุดพ้นได้เท่ากัน...อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่เท่านั้น

    ส่วนคนที่ตายก่อนอายุไข ก็เปรียบเสมือนเทียนดับก่อนที่ไส้เทียนเล่มนั้นจะมอดไหม้จนหมด ก็เป็นกรรม หรือ อุปสรรคที่เข้ามาตัดรอน ถ้าเราป้องกันไม่ให้ลมเข้ามาพัดเปลวเทียน ก็จะทำให้เทียนเล่มนั้นสว่างไสวต่อไปจนครบอายุไข ก็เปรียบเสมือนคนเราถ้าไม่ต่อสู่กับอุปสรรคที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็เหมือนกับ ว่าตายแล้วทั้งเป็น...

    2010/03/06

    เรื่อง ทางสายกลาง

    การเพ่งหรือการเร่งรัดความเพียรมากเกินไปก็จะทำให้จิตไม่ตั้งมั่น ไม่เป็นสมาธิ

    เปรียบเสมือนสายพิณ
    ถ้าหย่อนเกินไปก็ไม่น่าฟัง ถ้าตึงเกินไปดีดแล้วก็จะขาด


    ให้ทำจิตของเราให้ว่างจากนิวรณ์ทั้งห้่า ตัดกังวลทุกอย่าง จิตตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันขณะ สิ่งใดเกิดขึ้นก็ให้มีสติรู้เท่าทันสิ่งนั้น สักแ่ต่เพียงว่ารู้ แล้วจักปล่อยวางสิ่งนั้น พิจารณาให้เป็นสภาวะธรรมลงที่ไตรลักษณ์ ก็จักคลายความยึดมั่นถือมั่นภายในจิตลง จิตก็จะมีความเบา สบาย มีความสุขในธรรมะปิติ

    ขอถวายการปฎิบัติและธรรมทานนี้เป็น พุทธบูชาฯ วันนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้ครับ ไว้ลงต่อบทความหน้าตามโอกาสวาระธรรม ธรรมะรักษาจิต _/\_
     
  15. สาวปีใหม่

    สาวปีใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    1,004
    ค่าพลัง:
    +2,368
    [​IMG]

    โมทนา สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2010
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เราเกิดมาเพื่อใช้กรรม หรือเราเกิดมาเพื่อ"การสร้างบารมี"

    สนทนาในห้องสมาธิ


    ขอแก้ความเข้าใจเรื่องการที่เราตั้งใจไปพระนิพพานแล้วก็ดี หรือทำความดีแล้วจะ ถูกเจ้ากรรมนายเวรกระหน่ำนั้น
    แท้ที่จริงขึ้นกับการอธิษฐานของเราเอง เป็นประการที่ 1
    วาระกรรมให้ผล เปิดโอกาสให้เจ้ากรรมนายเวรเข้าสงเคราะห์เป็นประการที่ 2
    ซึ่งขออธิบายให้ฟังดังนี้
    การอธิษฐานเพื่อการเกิดของแต่ละบุคคลแตกต่างกันไปตามบุคคลาธิษฐาน
    คนที่มีบุญนั้นสามารถ อธิษฐานขอมาจุติก่อนหมดบุญเพื่อบำเพ็ญบารมี ได้
    ซึ่งท่านเหล่านั้น ล้วนอธิษฐาน ขอลงมาจุติ "เพื่อบำเพ็ญบารมี"ด้วยกันทั้งสิ้น
    บำเพ็ญบารมีคือ การทำงานจะเป็นงานเพื่อตัดกิเลสก็ดี หรืองานเพื่อโปรดสัตว์ รื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพานก็ดี
    ต่างเป็นการ "ทำงาน สร้างบารมีทั้งสิ้น"

    การสร้างบารมี คือการสร้างกำลังใจในการทำความดีให้ยิ่งขึ้นไป

    หากการลงมาเกิด ตั้งใจเพื่อเสวยสุขเสพสุข ก็ไม่ต้องลงมาก็ได้ เสวยสรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ สบายกว่าสุขกว่าเยอะมาก กายเนื้อไม่มี นึกอะไรได้ดังใจ สมปรารถนาไปหมด
    หากการลงมาเกิด เพราะเข้าว่าว่าเพื่อเสวยกรรม ใช้กรรมให้หมดๆไปเสีย
    ก็ยิ่งเข้าใจผิดอีกมาก เพราะหากจะใช้หนี้กรรมฝ่ายอกุศลให้หมดจริง
    ก็โน้น ลองดูกรรมที่นรกดู อีกมากมายไหม อยากใช้ให้หมดไหม
    ดังนั้น ชาวธรรมเรานั้น
    หากตั้งใจว่าการเกิดเป็นมนุษย์เพราะเรามาเสวยบุญ มาเสพสุข ก็เป็นตัวหลง ในภพแห่งความเป็นมนุษย์ หลงชีวิต

    หากตั้งใจว่าเราเกิดมาใช้กรรม จะชดใช้กรรมให้หมด ก็ตั้งกำลังใจผิดอีก
    เนื่องจาก กรรมนั้นใช้กันไม่หมดสิ้น หากมีญาณทัศนะแจ่มใส จะพบว่า ใช้กันเป็นมหากัลป์ ก็ไม่หมดทั้งกรรมดีกรรมชั่ว
    มีเพียงทางเดียวคือ การพ้นอำนาจแห่งกรรมโดยการใช้ปัญญาตัดเข้าโลกุตระโคตร เท่านั้น
    แต่ระหว่างภพก็ต้องยอมรับเคารพในกฏของกรรม ใช้เศษกรรมไปโดยจิตไม่มีความเศร้าหมองหรือทุกข์ใจ แต่ประการใด
    ดังนั้นทัศนะแห่งการเกิด การเป็นมนุษย์นี้ก็เพื่อบำเพ็ญบารมี สร้างความดี เพื่อความพ้นทุกข์

    ทำดีให้ยิ่งขึ้นไป
    สะอาดยิ่งขึ้นไป
    บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไป
    จนจิตพบแต่สุขเป็นนิรทุกข์

    จิตบริสุทธิ์ผ่องใสปราศจากความทุกข์ มลทินเครื่องเศร้าหมองเครื่องหมักดองใจด้วยกิเลส
    เกิดมาบำเพ็ญบารมี
    เกิดมาสร้างความดี
    เกิดมาเพื่อปฏิบัติธรรม
    ปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์
    เมื่อดับทุกข์มากขึ้นย่อมพบสุข

    ปฏิบัติธรรมเพื่อจิตเป็นสุข

    จิตเป็นสุขคือ จิตอันผ่องแผ้วเบิกบาน งดงามในธารแห่งธรรมอันวิมุตร


    ดังนั้นเราตั้งใจไปพระนิพพานก็ดี เราปฏิบัติเพื่อตัดภพตัดชาติ เราก็ย่อมต้องตัดกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรเรา
    และเราเป็นฝ่ายอโหสิกรรมตัดกรรมให้เราพ้นจากความเป็นเจ้ากรรมนายเวรผู้อื่นไปด้วย
    จะไปพระนิพพานแล้ว เราใช้หนี้กรรมด้วยบุญด้วยกุศล ด้วยสมาธิธรรม ด้วยวิโมกขธรรม
    แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล แบ่งบุญ ปรับภพภูมิ ให้เจ้ากรรมนายเวรเขา
    อานิสงค์แห่งพระนิพพานให้เขา
    สงสารเขาอย่าให้เขาก่อเวรวิบากขวางทางเรา จะเป็นกรรมกับเขา
    ให้บุญเขาแทน
    แผ่เมตตาให้เขา จนเขา สงบ เย็น เข้าถึงธรรม เข้าใจบุญ อิ่มในกุศล สิ้นความเร่าร้อน แห่งความอาฆาต พยาบาท

    ให้เขาทำร้ายขัดขวางการสร้างบารมีเรา เขาได้แค่ความสะใจ ได้บาป ได้วิบาก ต่อกรรม ต่อเวรของตัวเขา กรรมไม่จบ

    เราจบหากเขาไม่จบ เขาก็โดนวิบากกรรมต่อๆไป ด้วยอำนาจผลของกรรม อยู่ดี แม้เราไม่อยู่ไปพระนิพพานแล้ว

    เราพ้นจากผลของกรรมเมื่อเข้าพระนิพพาน

    แต่เขายังไม่พ้นกรรม ยิ่งเราจิตบริสุทธิ์ กรรม วิบากที่เขาต้องเจอยิ่งหนักไหม

    ทางสิ้นภพจบชาติตัดวิบากกรรมต่อกัน ก็ด้วย การแผ่เมตตา ตัดกรรมด้วยอโหสิกรรม ด้วยกำลังแห่งเมตตาอัปปัญนาณฌาน นั่นล่ะที่จะตัดกรรมวิบากได้ทั้งเรา ทั้งเขา


    บางกรณี กลับกลายเป็นว่า เจ้ากรรมนายเวร เรรากลับกลายมาเป็นเทวดาคุ้มครอง คอยโมทนาบุถญเราเสียอีก

    สร้างบารมีความดีกัน ทำให้ได้แบบนี้

    หากเขา ยังอโหสิกรรมเรายังไม่ได้ ก็ใจเย็นๆ แผ่เมตตา อโหสิกรรม ขมากรรมกันไปบ่อยๆ ทำเป็นธรรมดา สลายกระแสความโกรธ ความอาฆาตด้วยเมตตา ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ด้วยยิ้มแห่งเมตตา

    ทำจนที่สุดก็ไม่อาจมีผู้ใดใจแข็ง ทำร้าย กลั่นแกล้งเราได้ลงคอ

    มีแต่คนรัก คนเมตตา ทั้ง พระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้า เทวดา พรหม ไปจนถึงสรรพสัตว์ทั้งปวง


    อย่างที่พูดไว้เสมอ


    หากปุถุชน ด่าว่า กล่าวโทษ ปรามาสเรา จงอุเบกขาแล้วตั้งสติพิจารณาว่าจริงไหม

    หากไม่จริงก็จงอุเบกขา อย่าใส่ใจในโลกธรรมทั้งแปดประการ

    หากจริงก็จงปรับปรุงตนให้ดีขึ้น ให้เขาเป็นกระจกส่องตัวเรา

    แต่หากถูกครูบาอาจารญ์ผู้ทรงคุณธรรมว่ากล่าว พระอริยะเจ้าท่านตำหนิ นั้นล่ะจงพึงระวังให้จงหนัก

    ดังนั้น จงอย่าหวั่นไหวใน วิบากเศษกรรม ที่อาจเข้ามาตามวาระวิบาก

    จงยิ่งทรงกำลังใจให้หนักแน่น ทำความดีให้ยิ่งขึ้นไป

    เอาแรงกระทบเป็นแรงผลักดันเราขึ้น

    อย่าให้เป็นแรงกดหัวเราจนจมทุกข์ จนไม่อาจทำความดีต่อไปได้

    ให้ดันเราให้พ้นน้ำ

    เป็นบัวพ้นน้ำ

    อย่าหวั่นไหวในวิบากเศษกรรม ที่อาจเข้ามาตามวาระ

    พอเข้าใจกันนะ

    หมั่นแผ่เมตตา ล้างกรรมการเป็นเจ้ากรรมนายเวร การขมาพระรัตนไตรการขมากรรมกันบ่อยๆล้างมิจฉาทิฐิ

    ตรงนี้ล่ะเป็นตัว ตัดภพ ตัดชาติ ตัดวิบาก ตัดกรรมตัวจริง

    ยิ่งทำบ่อย จิตเรายิ่งเบา

    ทำทุกวันได้ยิ่งดี

    ปฏิบัติเพื่อจิตเป็นสุข เพื่อนิรทุกข์ เพื่อพระนิพพาน

    นิพานนัง ปรมังสุญญัง

    พระนิพพานว่างจากกิเลส ว่างจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง ว่างจากความโกรธความอาฆาต ว่างจากความความหนักความกังวลใจอย่างยิ่ง

    นิพพานนังปรมังสุขัง

    พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งที่สุด

    ดังนั้นยิ่งปฏิบัติยิ่งจิตเป็นสุขผ่องใส ยิ่งใกล้พระนิพพาน
    ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งทุกข์ยิ่งเศร้าหมอง จะยิ่งใกล้หรือไกลจากพระนิพพาน


    พระนิพพาน ทั้งปัจจุบันขณะ และพระนิิพพานเมื่อสิ้นจากร่างกายนี้ ล้วนมีจิตสะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส สะอาด สว่าง สงบ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ในวันนี้ ผมจะลงในการปฏิบัติ แบบง่ายๆ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอน ไม่ใช่ผมคิดขึ้นเอง

    เพื่อมุ่งเน้น ในการลัด ตัด ตรง เข้าสู่ยังพระนิพพาน เข้าถึงซึ่งพระธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอน

    ท่านใด ณ ที่นี้ ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบันกันบ้างครับ?

    คาดว่าแทบจะทุกๆท่าน ก็คงจะหวังพระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น

    แต่เราเคยทราบไหมว่า เคยเห็นหนทาง อย่างชัดเจนหรือไม่ว่า เราจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างไร

    สิ่งที่ผมจะมุ่งเน้นในวันนี้ ก็คือ การทำให้ทุกๆท่าน มองเห็นเส้นทาง การเดินทางเข้าสู่พระนิพพานของตัวเองอย่างชัดเจน

    โดยแรกเริ่มก่อนผมจะต้องอธิบายถึงเรื่องวิสัยในการปฏิบัติ
    ซึ่งทุกๆท่าน คงจะเคยได้ยิน ได้ฟังกันมาบ้าง

    ว่ามีวิสัยในการปฏิบัติใหญ่ๆ อยู่ สองวิสัย

    ก็คือ พุทธภูมิ และ สาวกภูมิ

    ผมจะอธิบายในส่วนของพุทธภูมิเสียก่อน

    สำหรับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น คือ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อช่วยรื้อขนสรรพสัตว์ขึ้นสู่พระนิพพาน

    จะไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ ตราบใดที่ยังไม่เข้าถึงซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ
    จะไปพระนิพพานไม่ได้ เป็นพระอริยเจ้าโดยสมบูรณ์ไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงชาติที่ตรัสรู้

    ดังนั้น สิ่งที่พุทธภูมิสามารถทำได้ก็คือ
    สามารถเห็นสภาวะพระนิพพานได้ ถ้าได้มโน ก็ไปด้วยจิตได้ ถ้าได้อภิญญาก็เหาะไปกายเนื้อได้
    สามารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพาน หากจิตสะอาดจากสังโยชน์ชั่วขณะ

    แต่ไม่สามารถจะไปอยู่บนพระนิพพานอย่างถาวรได้
    คิดซะว่าไปได้แค่เที่ยว แต่อยู่เลยยังไม่ได้

    เมื่อเราอยู่เลยยังไม่ได้ ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมินั้น
    ก็ไม่ใช่จะละเลย ซึ่งการระลึกถึงพระนิพพาน แต่ต้องยิ่งระลึกให้บ่อยมากกว่าคนปรกติทั่วไป
    เพราะเราจะต้องถือว่า เป็นสิ่งที่เราปรารถนาในบั้นปลาย
    และเรามีหน้าที่ มาช่วยรื้อขนสรรพสัตว์เข้าพระนิพพาน สืบทอดปฏิปทาเพื่อส่วนรวมจากพุทธภูมิท่านก่อนๆ มีสมเด็จองค์ปฐม ต้นพุทธวงศ์เป็นที่สุด ตราบจนถึงพระพุทธเจ้าพระองค์สุดท้าย ในกาลเวลายาวนานนับไม่ได้ในอนาคต
    หากเราผู้ประดุจหัวขบวนรไฟ หัวรถจักร ยังไม่แน่วแน่ในพระนิพพาน
    เราจะลากคนที่ตามมา ไปพระนิพพานได้อย่างไร

    และความแน่วแน่ในพระนิพพานนั้น คือ เครื่องวัดบารมีของเราว่าเข้าใกล้พระโพธิญาณมากแค่ไหน
    ยิ่งใกล้มากยิ่งทรงอารมณ์พระนิพพานได้มากเท่านั้น
    ถ้ายังทรงไม่ได้ เข้าถึงไม่ได้ แผ่เมตตาจากอารมณ์พระนิพพานไม่ได้
    ยังถือว่าห่างไกลนักกว่าบารมีจะเต็ม

    แต่ด้วยความที่เราไปพระนิพพานไม่ได้
    ดังนั้นเราต้องตั้งกำลังใจเวลาเราจะตายว่า
    ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในพระนิพพาน อย่างถึงที่สุด
    แต่ด้วยความเมตตา ที่ข้าพเจ้ามีแต่สรรพสัตว์มากมายนี้ ข้าพเจ้าขอยั้งอารมณ์ของข้าพเจ้าเอาไว้เพียงแค่ ความเป็นเทวดาหรือพรหม ชั้นนี้ๆ แล้วแต่จะเลือก

    ส่วนมากท่านจะไปดุสิต ไม่ก็รูปพรหม ชั้นใดชั้นหนึ่ง

    ตั้งใจว่าเราปรารถนาพระนิพพาน แต่ขอยั้งเอาไว้เพียงความเป็นเทวดา หรือพรหม เพื่อสงเคราะห์ สรรพสัตว์ต่อไป

    อันนี้คือ กำลังใจในการปรารถนาพระนิพพานของพุทธภูมิ

    ทีนี้ก็มาถึง สาวกภูมิ
    สาวกภูมินั้น คือ ผู้ปรารถนาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง

    สาวกภูมิบางท่านอธิษฐานว่า ขอเข้าพระนิพพานเร็วที่สุด จะเข้าในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ได้
    ถ้าตั้งจิตแบบนี้ ท่านก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ในชาตินี้

    แต่สำหรับบางท่าน ที่ขอติดตามจะเข้าพระนิพพานในชาติของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ๆ แบบเฉพาะเจาะจง เช่น ยุคของพระศรีอริยเมตตรัย หรือพระอนาคตวงศ์ทั้งสิบพระองค์
    ก็จะต้องรอไปเข้ายุคของท่านที่เราอธิษฐานตาม ยกเว้นเราจะถอนคำอธิษฐานแล้วขอไปชาตินี้

    ต่อมาจะมีสาวกภูมิที่มีคำอธิษฐานพิเศษ อีกประเภท คือมีภารกิจ ที่ถ้าทำไม่สำเร็จจะไม่ขอไปพระนิพพาน
    เช่น บางท่านอธิษฐานจะขอดูแลพระศาสนาจนครบ5000ปี แล้วจึงค่อยไปพระนิพพาน
    ท่านก็จะมาเกิด เพื่อช่วยค้ำจุนพระศาสนาเรื่อยๆ แม้แต่ ท่านปู่พระอินทร์ ท่านพญายมราช
    ท่านก็อธิษฐานว่าจะไปหลังจากหมดวาระ ภาระกิจที่ท่านอธิษฐานมา

    สำหรับสาวกภูมิที่จะไม่ไปพระนิพพานชาตินี้นั้น

    เราก็จะต้องทำจิตแบบพุทธภูมิ คือ เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
    เวลาจะตาย จะซ้อมตาย ก็ต้องตั้งใจว่า
    ข้าพเจ้ามีความปรารถนาในพระนิพพานอย่างถึงที่สุด แต่ขอยั้งเอาไว้เพียงความเป็นเทวดา หรือพรหม
    เพื่อรอไปเกิดยังสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ๆ หรือเพื่อสานภาระกิจนี้ๆ ของข้าพเจ้าจนเสร็จสิ้น

    สำหรับท่านที่อธิษฐานแบบนี้ ท่านก็ไปเที่ยวพระนิพพานได้
    สัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ เห็นได้ ไปได้ด้วยจิต จนถึงไปได้ด้วยกายเนื้อ
    แต่อยู่อย่างถาวรไม่ได้ เช่นเดียวกันกับพุทธภูมิ

    คราวนี้ ก็มาถึงสาวกภูมิที่เน้นขอไปพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้

    เมื่อเราตั้งใจจะไปพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    ก็มีวิธีการเดินจิตแยก ออกไป ตาม วิสัยในการปฏิบัติของเรา
    คือ มี สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    จะให้สุกขวิปัสสโก มาตัดเข้าพระนิพพาน แบบเตวิชโชก็ไม่ได้
    จะให้ฉฬภิญโญ มาตัดแบบสุกขวิปัสสโกก็ไม่ได้

    เราต้องตัดเข้าพระนิพพาน ให้ตรงตามวิสัยของเราจึงจะเกิดมรรคผล

    เราก็มาเริ่มจาก สุกขวิปัสสโกก่อน ก็คือ การปฏิบัติอย่างไม่รู้ไม่เห็น เหมือนคนตาบอดเดินคลำทาง ไปจนถึงพระนิพพาน

    สามารถสัมผัสอารมณ์พระนิพพานได้ แต่ไม่เห็นภาพ ไม่มีความเป็นทิพย์ของจิต

    เมื่อเป็นเช่นนี้

    วิธีการตัดอารมณ์ที่ง่ายที่สุดก็คือ

    ให้เราพิจารณา เอาไว้ประโยคเดียว ใช้ได้ทุกวิสัย ซึ่งผมจะใช้บ่อยๆ

    พระพุทธเจ้าทรงอยู่ที่ใด ตายแล้วขอไปที่นั่น ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานเท่านั้น

    ในเมื่อเรามองไม่เห็น เราก็เกาะพระพุทธเจ้าเอาไว้ พระพุทธเจ้าอยู่ไหนเราก็ไปที่นั่น

    เกาะเอาไว้แบบนี้ ถ้าอารมณ์แน่วแน่อย่างถึงที่สุด เคารพพระพุทธเจ้าสุดหัวใจ ไม่อยากเกิด อยากไปพระนิพพานอย่างถึงที่สุด
    ตายด้วยอารมณ์นี้แล้วก็ไปพระนิพพานได้เลย

    บางคนก็สงสัย คิดแค่นี้ก่อนตายแล้วมันจะไปได้จริงๆหรือ

    ผมก็กล้า ตัดหัวเป็นพยาน ว่าถ้าแน่วแน่จริงๆล่ะก็ไปได้แน่นอน และเขาไปด้วยวิธีนี้กันมานับไม่ถ้วนแล้ว
    เราลองพิจารณาว่า มีคนกี่คนที่ตายโดยไม่รู้ว่าตัวเองจะไปไหน
    แล้วมีบุคคลกี่คนบนโลกนี้ ที่ก่อนตายคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะไปไหน
    แล้วมีกี่คนที่ตั้งใจจะไปพระนิพพานก่อนตาย
    มีกี่คนที่เวลาจะตาย คิดขึ้นมาได้ว่าขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

    ผู้ที่จะคิดได้ ก็คือ ผู้ที่ทรงอยุ่ใน พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ และอุปสมานุสติ
    คือ ระลึกถึงความดีของพระรัตนตรัย ของพระนิพพานเป็นอารมณ์ และเป็นผู้ไม่ประมาทต่อความตาย

    ผู้ที่คิดอย่างนี้ได้ มีแต่ผู้ที่มีบารมี หรือกำลังใจเต็ม เพียงพอแก่การจะไปพระนิพพานได้เท่านั้น

    เพราะผู้ที่กำลังใจไม่เต็มนั้น ถึงได้ฟังอย่างนี้ ก็จะไม่เชื่อ
    เพราะคิดว่าง่ายเกินไป ท่านใดชอบปฏิบัติยากๆ ก็ไม่ว่ากันแล้วบุคคล
    ใครอยากไปยากๆ ก็ไปยากๆ ใครอยากไปง่ายๆ ก็ไปง่ายๆ
    มีแต่ผู้ที่มีกำลังใจเต็ม พร้อมจะไปพระนิพพานเท่านั้น
    ที่จะ 1. ฟังแล้ว นำมาพิจารณา
    2. พิจารณาแล้ว เกิดศรัทธา นำมาปฏิบัติ
    3. ปฏิบัติ แล้วรักษาเอาไว้ได้ ตราบจนวันตาย

    แล้วการตั้งใจไปพระนิพพานนั้น ก็คือตัวตัดอวิชชา โดยตรง

    เพราะอวิชชา คือ ความไม่รู้ ว่าการเกิดมันทุกข์ ความอยากเกิด เป็นนู่น เป็นนี่ มันมีแต่ทุกข์ มันไม่เป็นเรื่อง
    เมื่อเราปรารถนาพระนิพพาน ตายเมื่อไหร่ ขอไปพระนิพพาน

    จิตมันเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์ จึงไม่อยากเกิด พอจิตไม่อยากเกิด
    จิตก็ไม่มีอวิชชา พอไม่มีอวิชชา มันก็คือ อารมณ์ที่ใช้ตัดเข้าความเป็นพระอรหันต์

    แต่ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่ เราไม่ได้บวชเป็นพระ ก็ทรงความเป็นพระอรหันต์ไม่ได้
    แต่ตอนเราจะตาย จิตมันทิ้งร่างกาย พอมันทิ้งร่างกายก็เหลือแต่จิต
    พอเหลือแต่จิต หากตอนนั้นจิตของเรามีอารมณ์คล้ายพระอรหันต์ ตายแล้วเราก็ต้องไปที่ๆพระอรหันต์ท่านไปกัน

    แล้วท่านไปไหน ท่านก็ไปพระนิพพาน
    เมื่อท่านไปพระนิพพาน เราอารมณ์คล้ายพระอรหันต์ก่อนตาย ท่านไปไหน เราก็ต้องไปด้วย

    หากไม่ถึงพระนิพพาน อย่างกลางก็เป็นรูปพรหม อย่างแย่สุดก็เป็นเทวดา
    ไม่เป็นมนุษย์ ไม่ลงอบายภูมิ

    ผู้ที่อธิษฐานเอาไว้ ทุกวัน ทุกคืน ว่าขอไปพระนิพพาน
    ตัวตั้งจิต ตัวแน่วแน่ในพระนิพพานนั้น ก็คือ อธิษฐานบารมี
    อธิษฐานบารมีในการเข้าถึงพระนิพพานมันเต็ม ไม่ปรารถนาอะไรนอกจากพระนิพพาน
    พอบารมีเต็ม มันก็ไปได้

    สุกขวิปัสสโกก็ทำแบบนี้ เกาะพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน

    เตวิชโช ได้วิชชาสาม ก็เพิ่มมานิดนึง
    ท่านใด เห็นพระนิพพาน ก็ทรงภาพพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเอาไว้
    ท่านใดไม่เห็นพระนิพพาน ก็ นึกถึงภาพพระพุทธเจ้าเอาไว้
    เห็นพระองค์ยิ้ม อิ่ม เต็มไปด้วยความสุข แล้วตั้งใจ ตายเมื่อไหร่ขอเกาะพระองค์ไปพระนิพพาน

    ต่างจากสุกขวิปัสสโก ตรงที่เห็นภาพพระพุทธเจ้า เห็นพระนิพพานในจิต

    พอมาเป็นฉฬภิญโญ ท่านใดได้มโนครึ่งกำลัง ก็ขึ้นข้างบนด้วยครึ่งกำลัง
    ท่านใดได้เต็มกำลัง เวลาจะตายจิตจะรวมตัวออกเป็นเต็มกำลังได้ ก็ไปรอข้างบน
    ท่านใดได้อภิญญา ท่านจะเหาะขึ้นไปเลยก็ยังได้ หรือท่านจะไปแบบมโนเต็มกำลังก็ได้

    ก็ตั้งจิตแบบเดียวกัน ตายเมื่อไหร่พระนิพพานเท่านั้น ไปอยู่กับพระพุทธองค์ข้างบนเท่านั้น

    ส่วนปฏิสัมภิทัปปัตโต บางท่านก็จะไล่อรูปฌาณก่อน แล้วก็ขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยมโนมยิทธิ หรือจะแบบใดก็แล้วแต่ท่านถนัด
    ถ้าท่านเป็นปฏิสัมภิทัปปัตโตนี่ ท่านรู้อยู่แล้วว่าจะต้องทำอย่างไร

    เข้าอรูป เห็นว่า สังสารวัฏ สลายไปหมด หรือเพียงจุดเดียวที่เที่ยงคือพระนิพพาน จุดอื่นไม่ปรารถนา

    ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าจะปฏิบัติในวิสัยใด หรือจะพิจารณาธรรมมาแบบใด เชี่ยวชาญกรรมฐานกองใด

    สุดท้ายจริงๆ ก่อนตาย ทุกท่าน ก็จะต้องตั้งจิตในลักษณะเดียวกัน

    คือ ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน ขอเกาะบารมีพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน

    อันนี้คือ จุด คือ อารมณ์ที่ใช้ตัดเข้าความเป็นพระอริยเจ้า ความเป็นพระอรหันต์ ตัดเข้าพระนิพพาน

    ใครจะขี้เกียจไม่ทำอย่างอื่นเลย
    วันๆ จะภาวนา แต่ "ตายเมื่อไหร่ ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานๆๆ" ก็ได้

    ทำไปเลย
    แล้วจะถึงไม่ถึง เราไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปลังเลสงสัย
    คิดไว้อย่างเดียว
    ไม่ถึงพระนิพพาน ก็เป็นรูปพรหม ไม่เป็นรูปพรหม ก็เป็นเทวดา ไม่ต่ำกว่านี้แล้ว

    แล้วเวลาออกจากสมาธิทุกครั้ง ตั้งว่า อานิสงค์ของการเจริญสมาธิในวันนี้ ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพาน
    ทำบุญทุกครั้ง ตายเมื่อไหร่ ไปพระนิพพาน

    พิจารณาวิปัสสนาญาณ ทุกครั้ง ตายเมื่อไหร่ ไปพระนิพพาน

    หรืออยู่ในสถานการณ์ ที่คิดว่าชีวิตเราไม่ปลอดภัย
    ก็ภาวนาเลย
    "ตายเมื่อไหร่ ขอไปอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้าเท่านั้นๆๆ"

    เล่นมันแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน สำหรับท่านที่เป็นสาวกภูมิ จับแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
    ถ้าเป็นพุทธภูมิ ก็ต้องทำให้เข้มยิ่งกว่านี้ ต้องทรงสมาธิในอารมณ์พระนิพพานให้มีความคล่องแคล่ว
    นึกจะเข้า ต้องเข้าได้ ในทันที ไม่ต้องตั้งท่า ลืมตากลับตา ทรงอารมณ์พระนิพพานให้ได้ตลอด

    ถ้าทุกๆท่าน ทรงอารมณ์ได้แบบนี้ คำว่าเกิดใหม่ ไม่มีแก่ทุกๆท่านอีกต่อไป
    ตายเมื่อไหร่ จะพ้นทุกข์อย่างถาวร เข้าถึงซึ่งสุขแห่งพระนิพพานอัน ไม่มีเสื่อม ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีความตาย
    มีแต่ความเย็น อันชุ่มฉ่ำ อันเบิกบาน อันเป็นอมตะแห่งพระนิพพาน ตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนโดยส่วนเดียว

    ขอให้ทุกๆดวงจิต ซึ่งมีวาระจะเข้าถึงซึ่งธรรมได้
    มีพระนิพพานเป็นที่สุดได้ในชาติปัจจุบันนี้
    ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end --> <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. ปูเเว่น

    ปูเเว่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,614
    ค่าพลัง:
    +6,697
    <TABLE class=tborder id=post3273698 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->26<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3273698", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    วันที่สมัคร: Dec 2008
    ข้อความ: 48
    Groans: 0
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 56
    ได้รับอนุโมทนา 62 ครั้ง ใน 30 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_3273698 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- google_ad_section_start -->ลองฝึกแบบ อ.คณานันท์ดีขึ้นมากเลยครับเห็นตัวเองสดใสขึ้น
    ชัดขึ้นเห็นที่อื่นได้เเล้วครับ<!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เหตุที่ผู้ปฏิบัติธรรมควรตั้งจิตแนบพระพุทธเจ้าเอาไว้

    Ning: สาธุ ค่ะ
    KANANUN: เพราะ พระพุทธเจ้าท่านอยู่บนพระนิพพาน ธรรมมะสายตรง กระแสตรงจากพระนิพพาน

    Ning: วันนี้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากอจ. ไปไว้ที่บ้านที่บางบัวทองค่ะ

    KANANUN: ใกล้พระพุทธเจ้าก็ย่อมใกล้พระนิพพาน
    หากเราห่างพระ ทิ้งพระ เสีย
    เราก็พลอยห่างมรรคผลพระนิพพานไไปด้วย
    ห่างพระก็ใกล้..............
    ทิ้งพระก็ย่อมทำให้...........แทรกซึมจิตง่าย
    ดังนั้นเราแนบพระท่านเอาไว้
    มีไตรสรณะคมม์เป็นที่ตั้ง
    มั่นคงในจิต
    ห่างพระทิ้งพระก็คือ ทิ้งพระไตรสรณะคมม์
    ห่างจากอารมณ์พระโสดาบัน ตัวตัดวิจิกิจฉาห่างไป
    ดังนั้น หากยิ่งจิตเราแนบพระพุทธเจ้า จิตย่อมสะอาดบริสุทธิ์ จิตย่อมก้าวหน้าเจริญในธรรม

    จิตยิ่งแนบยิ่งนอบน้อมพระรัตนไตรมากเท่าไร เพียงไร มโนมยิทธิยิ่งชัดเจนแจ่มใส

    ท่านใดมโนเคยได้ แต่หายไป คราวหน้าเรามาดูวิธีแก้ครับ
     
  20. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จากห้องสนทนาสมาธิครับ

    สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
    [20:05:54] KANANUN: คือสิ่งที่ ตัวผมเองต้องทบทวนใจ ทบทวนการปฏิบัติของเรา
    [20:06:08] KANANUN: ทุกๆวัน วันละหลายๆครั้ง
    [20:06:37] KANANUN: เพราะผลจากความเป็นมิจฉาทิฐิน่ากลัวอย่างยิ่ง ทำให้ห่างจากความดี
    [20:06:43] KANANUN: ห่างพระรัตนไตร
    [20:06:57] KANANUN: ห่างธรรมมะอันเป็นเครื่องหลุดพ้น
    [20:07:45] KANANUN: เราปฏิบัติธรรมเพื่อความ ดี ความสุข ความพ้นทุกข์
    [20:08:10] KANANUN: หรือเราปฏิบัติเพื่อความเก่ง เพื่อให้คนยกย่อง
    [20:08:34] KANANUN: เพื่อข่มคนอื่น ว่าเราบารมีมากกว่าเขา
    [20:09:06] KANANUN: ที่จริงเรา ปฏิบัติธรรมโดยแข่งกับกิเลสเราเอง
    [20:09:28] KANANUN: ให้ความดี บุญกุศล มากเข้า
    [20:09:50] KANANUN: จิตผ่องใสมากเข้า กิเลสก็พลอยลดน้อยเบาบางลงไป
    [20:10:13] KANANUN: ดังนั้นดูตนเอง
    [20:10:37] KANANUN: ไม่ต้องไปเพ่งโทษโจทย์คนอื่น
    [20:10:59] KANANUN: โจทย์ตนเองเอาว่าเรายังผ่องใสกว่านี้ได้ไหม
    [20:11:09] KANANUN: งจิตเมตตากว่านี้ได้ไหม
    [20:11:22] KANANUN: จิตเป็นกุศลกว่านี้ได้ไหม
    [20:11:34] KANANUN: ทรงกำลังใจแนบพระพุทธเจ้า
    [20:11:44] KANANUN: แนบพระนิพพานได้นานกว่านี้ได้ไหม
    [20:12:06] KANANUN: ยิ่งแนบพระพุทธเจ้า จิตยิ่งห่างไกลจากกิเลส


    [20:16:57] คุชินาดะ วาริน: สาธุ (angel) ค่ะ ดูตนเองให้มากๆ อย่าเพ่งโทษผู้อื่น ให้เพ่งแต่โทษของตนเอง ความผิดของผู้อื่นให้หารด้วย ๑๐ ส่วนความผิดของตัวเราใหคูณด้วย ๑๐ นั้น จึงจะเป็นความจริง
    [20:17:19] Ben: :)
    [20:20:21] คุชินาดะ วาริน: ตอนนี้เราต้องใช้จิตแนบองค์พระให้ได้ตลอดเวลา จะได้ไม่มี ... มาเข้าแทรกในดวงจิตได้ ถ้ายังทำไม่ได้ก้อให้ทำทุกครั้งที่ระลึกได้ บ่อยเข้า ๆ จนชำนาญ กลายเป็นความเคยชินของดวงจิต มันจะเป็นไปเอง

    -------------------------------------------------------------------




    ทำได้ก้าวหน้าหลายคนครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ทรงอารมณ์จิตแนบพระพุทธเจ้าด้วยพุทธานุสติกรรมฐาน ได้คล่องทั้งหลับตาและลืมตาแบบนี้

    มโนมยิทธิคล่องมากครับเมื่อวานนี้ก้าวหน้ากันมากๆ ทั้งญาณทัศนะและวิปัสสนาญาณ

    น่าชื่นใจครับ

    ท่านที่มโนมยิทธิหาย มโนเสื่อมก็ไม่ต้องตกใจกันครับ

    ปรับกำลังใจใหม่ กราบขอขมาพระรัตนไตรบ่อยๆ นอบน้อมในพระรัตนไตรให้มาก ตั้งจิตมั่นคงใน ความเป็นสัมมาทิฐิ

    ไม่นาน อภิญญาสมาบัติก็กลับมาครับ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1100154.JPG
      P1100154.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      57

แชร์หน้านี้

Loading...