สงสัยครับ พ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่ากันครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย manop89, 22 กุมภาพันธ์ 2010.

  1. manop89

    manop89 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +8
    ถูกต้องแล้วครับ ผมไม่ควรจะไปสงสัยเลย

    ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วครับ

    ทั้งมารดาและบิดา เป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของบุตร เป็นผู้ควรรับของคำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร


    ๗. พรหมสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=6643&Z=6657&pagebreak=0

    [๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตระกูลใด บุตรบูชามารดาและบิดาอยู่ใน
    เรือนของตน ตระกูลนั้นชื่อว่ามีพรหม มีบุรพเทวดา มีบุรพาจารย์ มีอาหุไนย
    บุคคล ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหม เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพ-
    *เทวดา เป็นชื่อของมารดาและบิดา คำว่าบุรพาจารย์ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
    คำว่าอาหุไนยบุคคล เป็นชื่อของมารดาและบิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
    มารดาและบิดาเป็นผู้มีอุปการะมาก เป็นผู้ถนอมเลี้ยง เป็นผู้แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ
    มารดาและบิดาเรากล่าวว่า เป็นพรหม เป็นบุรพาจารย์ เป็น
    อาหุไนยบุคคลของบุตร เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร เพราะ
    เหตุนั้นแหละ
    บัณฑิตพึงนอบน้อมและพึงสักการะมารดาและ
    บิดาทั้งสองนั้น ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การขัดสี การ
    ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญ
    บุคคลนั้นในโลกนี้ทีเดียว เพราะการปฏิบัติในมารดาและบิดา
    บุคคลนั้นละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
    </pre>




    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๐ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=28&A=943&Z=1157
    ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๒
    ๒. โสณนันทชาดก เรื่องพระราชาไปขอขมาโทษโสณดาบส </pre>
    [๑๖๒] มารดาหวังผลคือบุตร จึงนอบน้อมแก่เทวดา และไต่ถามถึงฤกษ์ ฤดู
    และปีทั้งหลาย เมื่อมารดานั้นมีระดู ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์
    ก็ย่อมมี เพราะสัตว์เกิดในครรภ์นั้นมารดาจึงแพ้ท้อง เพราะเหตุนั้น
    บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่าเป็นผู้มีใจดี มารดาบริหารครรภ์อยู่หนึ่งปี
    หรือหย่อนกว่าปีแล้วจึงคลอด เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า
    ชนยนตีและชเนตตี ผู้ยังบุตรให้เกิด มารดาย่อมปลอบบุตรผู้ร้องไห้อยู่
    ให้รื่นเริง ด้วยการให้ดื่มน้ำนมบ้าง ด้วยการขับกล่อมบ้าง ด้วยการอุ้ม
    แนบไว้กับอกบ้าง เหตุนั้น บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า ปลอบบุตร
    ให้รื่นเริง ต่อแต่นั้น มารดาเห็นบุตรผู้ยังเป็นเด็กอ่อน ไม่รู้จักเดียงสา
    เล่นอยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอันกล้าก็เข้ารับขวัญ เพราะเหตุนั้น
    บัณฑิตจึงเรียกมารดานั้นว่า โปเสนตี ผู้เลี้ยงดูบุตร มารดาย่อม
    คุ้มครองทรัพย์แม้ทั้งสองฝ่าย คือ ทรัพย์ของมารดาและทรัพย์ของบิดา
    เพื่อบุตรนั้น ด้วยตั้งใจว่า ทรัพย์ทั้งสองฝ่ายพึงเป็นของบุตรแห่งเรา
    มารดายังบุตรให้ศึกษาดังนี้ว่า อย่างนี้ซิลูกอย่างโน้นซิลูก ย่อมลำบาก
    เมื่อบุตรกำลังรุ่นหนุ่มคะนอง มารดาย่อมคอยมองดูบุตรผู้หลงเพลิดเพลิน
    ในภรรยาผู้อื่น จนพลบค่ำก็ยังไม่กลับมา ย่อมเดือดร้อนด้วยประการ
    ฉะนี้ บุตรผู้อันมารดาเลี้ยงดูมาแล้ว ด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุง
    มารดา บุตรนั้นชื่อว่าประพฤติผิดในมารดา ย่อมเข้าถึงนรก บุตรผู้
    อันบิดาเลี้ยงมาด้วยความลำบากอย่างนี้ ไม่บำรุงบิดา บุตรนั้นชื่อว่า
    ประพฤติผิดในบิดา ย่อมเข้าถึงนรก เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุง
    มารดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย
    หรือบุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น เราได้สดับมาว่า เพราะไม่บำรุง
    บิดา แม้ทรัพย์ที่เกิดแก่บุตรทั้งหลายผู้ปรารถนาทรัพย์ย่อมฉิบหาย หรือ
    บุตรนั้นย่อมเข้าถึงความยากแค้น ความรื่นเริง ความบันเทิง และความ
    หัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงมารดา
    ความรื่นเริงความบันเทิง และความหัวเราะเล่นหัวกันทุกเมื่อ บัณฑิตผู้
    รู้แจ้งพึงได้เพราะการบำรุงบิดา สังคหวัตถุ ๕ ประการนี้คือทาน
    การให้ ๑ ปิยวาจา เจรจาคำน่ารัก ๑ อัตถจริยา การประพฤติ
    ประโยชน์ ๑ สมานัตตตา ความเป็นผู้มีตนเสมอในธรรมทั้งหลาย
    ตามสมควร ในที่นั้นๆ ๑ ย่อมมีในโลกนี้ เหมือนเพลารถย่อมมี
    แก่รถที่กำลังแล่นไป ฉะนั้น ถ้าว่าสังคหวัตถุเหล่านี้ไม่พึงมีไซร้ มารดา
    ก็จะไม่พึงได้รับความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร หรือ
    บิดาก็จะไม่พึงได้ความนับถือหรือการบูชา เพราะเหตุแห่งบุตร ก็เพราะ
    บัณฑิตทั้งหลายย่อมพิจารณาเห็นสังคหวัตถุนี้ ฉะนั้น บัณฑิตเหล่านั้น
    ย่อมถึงความเป็นผู้ประเสริฐ และเป็นผู้อันเทวดาและมนุษย์พึงสรรเสริญ
    **** มารดาและบิดาบัณฑิตเรียกว่าเป็นพรหมของบุตร เป็นบุรพาจารย์ของ
    บุตร เป็นผู้ควรรับของคำนับของบุตร และว่าเป็นผู้อนุเคราะห์บุตร
    เพราะเหตุนั้นแล บุตรผู้เป็นบัณฑิต พึงนอบน้อมและสักการะมารดา
    บิดาทั้ง ๒ นั้นด้วย ข้าว น้ำ ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นอน การขัดสี การ
    ให้อาบน้ำ และการล้างเท้า บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุตรนั้น
    ด้วยการบำรุงในมารดาบิดาในโลกนี้ ครั้นบุตรนั้นละโลกนี้ไปแล้ว ย่อม
    บันเทิงในสวรรค์.
    ****

    </pre>


    ขอบคุณมากครับที่ชี้แนะ
    ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านมากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มีนาคม 2010
  2. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    พ่อแม่มีพระคุณมากมาย จะชั่งว่าใครมากกว่าคงไม่ดีแน่ ความเอนเอียงย่อมเกิดขึ้นที่เรา
    แม่ต้องอุ้มท้องพ่อต้องเลี้ยงดู การแสดงออกอาจจะต่างกัน
     
  3. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อย่าพระคุณด้วยตราชั่ง
    โปรดรับรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น
    มันคือพระคุณของพ่อแม่
    อย่าไปคิดจำกัดเป็นเชิงปริมาณ
    เพราะของอย่างนี้ คำนวณไม่ได้ครับ
     
  4. NikuSeed

    NikuSeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +724
    พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า...
    "แม้บุตรจะให้บิดาขี่ไหล่ข้างหนึ่ง มารดาขี่ไหล่อีกข้างหนึ่ง แล้วปรนนิบัติให้น้ำให้ข้าว ให้ท่านทั้งสองถ่ายปัสสาวะและอุจจาระใส่ตัวเราและเราก็เช็ดอย่างนี้ไปจนสิ้นอายุขัยน์ เราก็ไม่อาจทดแทนบุญคุณของท่านทั้งสองได้"

    ผมก็ได้ยินมาอีกทีนะครับ แต่แบบนี้เห็นได้ชัดเลยว่าบุญคุณของพ่อแม่ยิ่งใหญ่แค่ไหน

    ไม่ว่าท่านไหนจะมีบุญคุณมากกว่ากัน แต่บุญคุณของท่านทั้งสองก็มากจนเราไม่อาจจินตนาการได้
    เปรียบได้ว่าเราไม่อาจบอกได้ว่าน้ำในมหาสมุทรนี้กับอีกมหาสมุทรหนึ่ง แห่งใดมากกว่ากัน...เหมือนที่เราไม่อาจบอกได้ว่าบุญคุณของบิดาหรือมารดา ใครมากกว่ากัน

    อ้อ อันนี้ความคิดส่วนตัวสักนิด ผมว่าเรื่องนี้รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ อาจจะมีโทษทำให้เราปรนนิบัติบิดาหรือมารดาย่อหย่อนไปคนหนึ่งนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กุมภาพันธ์ 2010
  5. ้StreetWise

    ้StreetWise Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +81
    คล้ายกับคำถามที่ว่า หูซ้ายกับหูขวา อะไรให้คุณ เรามากกว่า กันน่ะเหรอ
     
  6. มรณาติ

    มรณาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    138
    ค่าพลัง:
    +190
  7. มิตรตัวน้อย

    มิตรตัวน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +896
    พระพุทธเจ้ากล่าวว่า "มารดาบิดา คือพรหมของบุตร" หรือ "มารดาบิดาคือพระอรหันต์ของลูก"
    พระองค์ไม่แยกว่า ใครเป็นพรหมใครเป็นพระอรหันต์ แต่หมายรวมถึงมารดาและบิดา

    เพราะฉะนั้น มารดาบิดา จึงมีพระคุณต่อบุตรเสมอกัน

    เจริญธรรม
     
  8. kylethai

    kylethai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +168
    ลองคิดดูสิครับว่า ก่อนเกิดถ้ามีแต่แม่ ไม่มีพ่อที่จะมีทำให้เกิดการปฏิสนธิจะมีเราเกิดขึ้นได้หรือไม่ หรือมีแต่พ่อไม่มีแม่ที่จะให้เกิดการปฏิสนธิจะมีเราเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีพ่อหรือแม่สักคนก็ไม่มีเรา เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดเลยครับว่าใครมีบุญคุณมากกว่าใคร
     
  9. B5234T5

    B5234T5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2005
    โพสต์:
    143
    ค่าพลัง:
    +210
    ถ้าไม่มีพ่อแม่ แล้วที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นี่อะไรครับ...แค่เนื้อหุ้มโครงฤๅ...?

    จะไม่มีเราในตอนนี้ ถ้าไม่มีผู้ให้กำเนิด...
    พระคุณพ่อแม่วัดเทียบไม่ได้ครับ มากเหลือประมาณ..

    เกิดมาชาตินี้ ตั้งใจทำความดีกันนะครับ อย่าให้เปล่าเปลืองพระคุณและความรักของท่านต่อเราเลย
     
  10. aumking

    aumking เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    699
    ค่าพลัง:
    +814
    ขออนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านครับ

    บิดามารดาคือผู้มีคุณ คุณของท่านมิมีสิ่งใดเทียบเทียม

    คุณของท่านมิมีที่สิ้นสุด คุณของท่านมิอาจทดแทนได้หมด

    จงตั้งใจเป็นบุตรที่ดีของท่านเทิดก็เป็นการตอบแทนที่ดีแล้วเช่นกัน

    ขออนุโมทนา
     
  11. aronn

    aronn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +47
    ตอบจากแนวทางของอาจารย์แสง จันทร์งาม
    ใครเลี้ยงดูลูกมากกว่า คนนั้นก็มีบุญคุณมากกว่า
    ถ้าอยู่ดูแลลูกด้วยกัน ก็เท่ากัน
    แต่แม่เลี้ยงคนเดียว พ่อทิ้งไปตั้งแต่อยู่ในท้อง จะบอกว่าเท่ากันไม่ได้
     
  12. nitnoi

    nitnoi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    132
    ค่าพลัง:
    +153
    อ้างคำพูดของปุถุชนเสพกามอยู่ มาแย้งคำสอนของพระศาสดา ไม่เหมาะไม่ควร

    พระพุทธเจ้า พระองค์เป็นสรรพัญญู ตรัสเรื่องใดไว้ ย่อมเป็นเรื่องจริงแน่นอน
    ไม่ตรัสแบบเหลาะแหละ

    สาธุ ๆ ๆ :cool:
     
  13. aronn

    aronn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +47
    ถ้าจะบอกว่าอาจารย์แสงเป็นปุถุชนเสพกามอยู่ ก็ควรศึกษาประวัติท่าน เอาหนังสือของท่านมาอ่านก่อน
    ในวงการศาสนา ไม่มีใครที่ไม่ยอมรับว่าท่านเป็นปราชญ์
    คำถามนี้อยู่ในเรื่อง ลีลาวดี
    พระเรวัตตะย้อนถามว่า บุญคุณเป็นสิ่งที่คนทำขึ้นหรือเกิดขึ้นเอง
    ปริพาชกบอกว่า คนทำขึ้น
    พระเรวัตตะจึงตอบว่า ใครทำมากกว่า คนนั้นก็มีบุญคุณมากกว่า

    ไม่ปรากฏว่ามีธรรมข้อไหนที่ท่านคิดขึ้นเอง ไม่อ้างจากพระไตรปิฎก
    แต่ความจริงคือ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตอบทุกคำถาม โดยเฉพาะคำถามของคนปัจจุบันที่ได้รู้เห็นอะไรมากกว่าคนสมัยนั้น
    เอาง่ายๆ คนสมัยนั้นก็ไม่เคยถามท่านว่า เชื้อโรคมีจิตไหม
     
  14. ด้อยค่า

    ด้อยค่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +143
    ทำไมในกาลามสูตร ท่านจึงไม่ให้เชื่อตำรา คำภีร์ เพราะปัจจุบัน ฆารวาสและสมมุติสงฆ์ แต่งหนังสือแข่งพระไตรปิฎก
    เอาความนึกความคิดของตน สอดแทรกเข้าไป ได้รับความนิยมอย่างสูงมากกว่าหนังสือหรือพระธรรมเทศนา
    ของพระอริยสุปฏิปันโน ถูกนำมาเป็นหนังสืออ้างอิงมองข้ามพระไตรปิฎก

    แม้แต่หนังสือเกี่ยวกามารมณ์ ยังได้รับการยกย่องชื่นชมว่าเป็นการอ้างอิงจากพระไตรปิฎก จากชาดก จนปรากฎข้อขัดแย้งให้ได้เห็น

    เพียงแค่คิดว่าศาสดาสอนไม่รอบคอบ ก็นับว่าอัปมงคลแล้ว ยิ่งแสดงออกเป็นการไม่เห็นด้วย ไม่เคารพพระศาสดาก็นับว่ายิ่งกว่าอกตัญญู

    บทสวดพระพุธคุณคงเลื่อนหายไป กลายเป็น ฆารวาสคุณ ยกย่องไว้เหนือพระศาสดา หากยังไม่เปลี่ยนความคิด
    ความอัปมงคลคงครอบตัวอยู่ตลอดไป

    เจริญพร
     
  15. aronn

    aronn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +47
    เพียงแค่คิดว่าศาสดาสอนไม่รอบคอบ ก็นับว่าอัปมงคลแล้ว ยิ่งแสดงออกเป็นการไม่เห็นด้วย ไม่เคารพพระศาสดาก็นับว่ายิ่งกว่าอกตัญญู
    -
    อันนี้ขี้ตู่เอาเองนะ
    ดูให้ดี เราไม่ได้ใช้คำว่า ไม่รอบคอบ
    ถ้าอ่านพระไตรปิฎกก็จะรู้ว่าท่านไม่ได้ตอบทุกคำถาม ยกตัวอย่างให้ดูแล้ว เคยมีใครถามท่านเรื่องเชื้อโรคไหมล่ะ บางคำถามท่านไม่ตอบเลยด้วยซ้ำ(เคยรู้เรื่องนี้ไหม) แล้วถ้าจะว่าเรา ไม่เห็นด้วย ไม่เคารพพระศาสดา ช่วยยกข้อความนั้นมาด้วย อย่าสักแต่ว่ามีนิ้วก็จิ้มไปเรื่อย


    ฆารวาสและสมมุติสงฆ์ แต่งหนังสือแข่งพระไตรปิฎก
    เอาความนึกความคิดของตน สอดแทรกเข้าไป ได้รับความนิยมอย่างสูงมากกว่าหนังสือหรือพระธรรมเทศนา
    ของพระอริยสุปฏิปันโน ถูกนำมาเป็นหนังสืออ้างอิงมองข้ามพระไตรปิฎก
    -
    หนังสือพวกนี้ทำให้เข้าใจพระไตรปิฎกได้ง่ายขึ้น
    โลกนี้มีสักกี่คนที่อ่านพระไตรปิฎกแล้วเข้าใจได้
    ถ้าคิด...แบบนี้ อรรถกถา ฎีกา ก็เป็นหนังสือไม่น่าอ่านด้วยสินะ
    :boo:
     
  16. ดอนdon

    ดอนdon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,580
    ค่าพลัง:
    +3,291
    พระธรรมหากจำแต่อักขระ.....ดั่งนกแก้ว
    เข้าใจแล้ววางเฉยเพื่อหลุด....ขันธุ์
    ยึดไว้เป็นหลักถกเถียงธรรม...มิจฉา
    คัมภีร์เดิมแต่รู้แจ้งเพราะ.......ปัญญา
     
  17. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ฐานะในการเป็นผู้ให้กำเนิดนั้น มีบุญคุณเท่ากัน ทั้งบิดาและมารดา แม้ว่าบิดาหรือมารดาจะไม่รัก จะคิดฆ่าลูก ก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าเป็นบิดาและมารดาของเราอยู่ บุญคุณและฐานะตรงนี้ไม่มีสิ่งใดลบล้างได้ นี่คือความจริง

    อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงของชีวิตมนุษย์ มีข้อเท็จจริงที่ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น กล่าวคือ การเลี้ยงดูบุตร การสั่งสอนบุตร เป็นสิ่งที่เน้นพระคุณของบิดามารดาให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

    เคยได้ยินไหมคำว่า "สอนลูกให้เป็นโจร" ? จะมีข้อแตกต่างหรือไม่สำหรับบุญคุณในการเลี้ยงดูบุตร ระหว่างบิดามารดาที่เลี้ยงดูลูกในทางที่ผิด กับบิดามารดาที่เลี้ยงดูลูกให้อยู่ในศีลในธรรม เป็นคนดี ?

    จะขอยกตัวอย่างที่น่าสะเทือนใจ ฝ่ายชายเป็นคนเจ้าชู้ มีภรรยาหลายคน ฝ่ายหญิงก็แสนซื่อ ก็ตกเป็นของฝ่ายชายเพราะความไม่รู้ว่าฝ่ายชายมีภรรยาแล้ว ดังนั้นฝ่ายหญิงก็เลยกลายเป็นภรรยาน้อยไป อยู่กินกันจนได้บุตรสาว ฝ่ายชายก็มาหาฝ่ายหญิงมั่งไม่มามั่ง เพราะมีหลายบ้าน ไม่ค่อยได้ส่งเสียลูกและภรรยาเท่าที่ควร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงเลี้ยงดูบุตร จนกระทั่งบุตรสาวโตเป็นสาวแล้ว ฝ่ายชายหรือฝ่ายบิดานั้น ด้วยความมักมากในกาม ก็คิดหาทางจะข่มขืนบุตรสาวตัวเอง อย่างนี้ยังจะถือว่าบิดามีบุญคุณในการเลี้ยงดูบุตรหรือไม่ ?

    เพราะฉะนั้น คำสอนของท่านอาจารย์แสง ท่านไม่ปฏิเสธในเรื่องสถานะความเป็นบิดามารดาเลยนะว่าคนที่เป็นพ่อคน ต้องมีบุญคุณมากกว่าหรือน้อยกว่า คนที่เป็นแม่คน เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น สถานะของผู้ให้กำเนิดนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรมาลบล้างได้ คำว่า "ผู้ให้กำเนิด" จึงยิ่งใหญ่ จึงมีบุญคุณยิ่งนัก

    แต่หน้าที่ของบิดามารดาคืออะไร ไม่ใช่เพียงจำกัดแค่การให้กำเนิดแน่ แต่อยู่ที่การเลี้ยงดู การปลูกฝังสิ่งดีงามให้กับบุตร การประพฤติตนเป็นแบบอย่างให้กับบุตรด้วย .....และนี่แหละ คือประเด็นที่อาจารย์แสงท่านกล่าวถึง

    ขอให้ท่านโปรดใช้ปัญญาพิจารณา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2010
  18. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    อาจารย์แสงเป็นนักปราชญทางพุทธศาสนาหรือไม่ ก็ลองใช้ Search Engine อย่าง Google หรือใช้สารานุกรมอย่าง วิกีพีเดีย ค้นหาดู พิมพ์คำว่า " แสง จันทร์งาม" แล้วท่านจะทราบเอง เพราะฉะนั้น อะไรที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ขออโหสิกรรมเสีย
     
  19. aronn

    aronn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +47
    khomeraya
    ที่ยกข้อความเรามา คงไม่ได้ตั้งใจตอบเราหรอกนะ เพราะความคิดของคุณกับเราก็เหมือนกัน
     
  20. Nakamura

    Nakamura Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,003
    ค่าพลัง:
    +17,625
    โดยปกติของมนุษย์ทั่วไปแล้ว ผู้ที่ทำประโยชน์ ให้ความสุขกับเรามาก เขาผู้นั้นก็จะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีพระคุณมาก

    แต่ถ้าถามว่าพ่อกับแม่ใครมีพระคุณต่อลูกมากกว่า ก็ต้องตอบตามพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้...


    [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่
    ท่านทั้ง ๒ ท่านทั้ง ๒ คือใคร คือ มารดา ๑ บิดา ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตร
    พึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
    เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น
    การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระ
    ปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้น
    ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์ ในแผ่นดิน
    ใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอัน
    บุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
    มารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย ส่วนบุตร
    คนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา ยังมารดา
    บิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้
    สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นใน
    ปัญญาสัมปทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น
    ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา ฯ

    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต


    http://www.84000.org/tipitaka/read/?20/277-286

    ธรรมะรักษาจิต _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...