สติต้องหมั่นสร้างให้เกิดขึ้น อย่าคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นเอง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 12 สิงหาคม 2018.

  1. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    คำว่า "พาล" คืออะไร? ในสายตาของคุณเนี่ย? ประโยคข้างล่างกลับกลายเป็นไม่ขอสนทนาไม่ขอคบหาเพราะไม่จรรโลงใจ กลับกลายเป็นว่า "ใครมีความเห็นไม่ตรงกับใจคุณ คือ คนพาล ใช่ไหม?" แล้วถ้าท่านยึดหลักความเห็นไม่ตรงใจนี่นับว่าเดินผิดทางหนักๆเลยครับ ปฏิบัติธรรมเพื่อค้นหาความจริง ส่วนตรงใจไม่ตรงใจนี่ ความรู้สึก(ธรรมารมณ์) กับคิดเอาเอง(มโน) แล้วอย่างนี้จะต่างอะไรกับคนธรรมดาที่ไปทำบุญทำทานละนั่น ถ้าเถียงกันเพราะปฏิบัติกันมาคนละแบบและแจกวิธีการปฏิบัติค่อยน่าว่ากันหน่อยนะครับ
     
  2. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    ในการอยู่กับโลก ก็มีการพบเจอกันและการจากลา อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา
    แต่การที่พบใครแล้วไม่ถูกชะตาแล้วต้องการจากลาแบบประมาณว่าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ละ
    อันนี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นแนวพวก อาฆาต พยาบาท พวกแค้นฝั่งหุ่น

    โดยส่วนตัวผมยังไม่เห็นใครจะเป็นคนพาลแบบเพียวๆเลยนะในกระทู้นี้หนะ
    เรื่องราวจะถูกใจเราหรือไม่ถูกใจเรา ผมก็พิจรณาทั้งนั้นหละ
    ไม่เว้นแม้แต่เรื่องตุ๊ดทั้งที่ผมก็ไม่ได้เป็นตุ๊ด ก็จะมีโดยประมาณ 3 ตุ๊ด

    1. (ประธานตุ๊ด) ตุ๊ดดัดจริต คือ เป็นแนวใช้ความคิดตกแต่งดัดแปลง บลาๆๆ
    ให้อ่านแล้วงงๆ กันเล่น

    2. ตุ๊ดแปลงสาร คือ มีความฉุนเฉียวได้ง่าย จากการแปลงสารจากความคิด อย่างเช่น
    ตุ๊ดแปลงสารพูดเรื่อง ดอกมะลิ พอมีผู้อื่นเข้ามาเพิ่มเติมให้ว่า ดอกไม้ก็มีอีกหลายแบบ
    ดอกเข็ม ดอกแก้ว ดอกพุดซ้อน มาเป็นข้อเพิ่มเติมให้ ก็เกิดอาการแปลงสารจากความคิด
    โดยสำคัญในคำด่าของตุ๊ด ว่าหากพูดถึงเรื่องดอกๆนี้แปลว่าต้องด่าประมาณว่า อีดอก
    เมื่อตุ๊ดแปลงสารเข้าใจว่าเขามาด่าเราว่า อีดอก
    ก็จะหาเรื่องทันทีว่ามาด่าเราว่า สาระพัดดอกทำไม เราพูดเรื่องดอกมะลิอยู่ดีๆ
    มาว่าเราว่าอีดอกทำไม ทั้งที่ผู้อื่นก็ไม่ได้ด่าอะไรๆเลย แต่เป็นเพราะตุ๊ดแปลงสารเองนี้หละ
    แล้วก็จะยังยึดอยู่กับการแปลงสารนั้นๆ ว่าเขาด่าเราเขาว่าเรา ให้มันขุ่นเคืองเล่นๆ

    3. ตุ๊ดจอมแถ คือ ก็ตามชื่อเลยนั้นหละ คือมีอะไรให้แถออกไปได้ก็แถไปได้เรื่อยๆ
    อะไรที่จะทำให้ตัวเองนั้นดูมิดีมิงามเสียภาพลักษณ์ ก็จะเลี่ยงหนี อะไรที่ดีๆนี้จะยื่นหน้ารับเลย
    ในร่างกายก็มีธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ขนาดตัวเองยังแถหรอกตัวเองได้
    เปลี่ยนดินให้เป็นน้ำ เปลี่ยนน้ำให้เป็นลม เปลี่ยนลมให้เป็นไฟ
    คิดดูว่าธาตุจะสับสนประมาณไหน แน่นอนว่าขนาดตัวเองยังสับสนกับตัวเอง
    แล้วจะสื่อสารกับใครเขารู้เรื่องหละ ในสายตาบุคคลที่ปรกติ จะเลยจะดูผิดปรกติ โดยปริยาย

    อันนี้ว่าด้วยเรื่อง ตุ๊ด

    จบ วันละนิดจิตแจ่มใส
     
  3. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    สติเราต้องหมั่นสร้าง อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนเรามีสติต่างกันครับ
    ในเมื่อเรามีของกลางเหมือนกัน ไม่ได้กวนแต่ อยากถามจริงๆ ขอรับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขออนุญาตพูดนะ
    องค์ประกอบ หลักๆ 2 ส่วนเพื่อไปส่วนที่ 3
    ตัวเลข( 1 และ ๑ คนละตัวกัน)
    ส่วนที่1.
    ความสามารถในการแยก
    ๑.จิต ๒ .ความคิด(จากจิต) ๓ .ความคิด
    จากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมหรือความคิดผุดไม่ได้ตั้งใจหรือกะแสภายนอกหรือวิบากกรรม ทั้งหมดคือกิริยาเดียวกัน
    ส่วนนี่คือพื้นฐานเริ่มต้น สังเกตุนะ
    ใช้คำว่าแยกกัน เห็นมันแยกกันได้

    ต่อมาความต่อเนื่องในการพัฒนา
    หรือส่วนที่ 2 หลังจากที่แยกส่วนที่1
    และเดินปัญญาต่อได้แล้ว ตลอดจนเจริญสติ
    มาต่อเนื่องระยะเวลาหนึ่ง
    เป็นการเพิ่มดารเข้าไปสังเกตุ
    ว่า ส่วนที่ 1. ๑.เกิดขึ้นเพราะอะไร
    ๒.เกิดขึ้นเวลาไหน ๓.ดับลงเพราะอะไร ๔.
    ดับเวลาไหน. ซึ่งจะต้องทำควบคู่กับการ
    หมั่นสังเกตกิริยาจิตตนเองว่ากระทำอะไรมาบ้างระหว่างวันทั้งก่อนและหลับตาตื่น
    จะสังเกตุเห็นข้อที่พลาดได้จากกำสังสติทางธรรมในระหว่างวันนั่นเอง ส่วนนี้เป็นสติสัมโภษชง

    และเมื่อมีทั้ง ส่วนที่ 1และ 2 ได้แล้ว
    สติก็จะพัฒนาไปต่อได้ และจะเริ่มเห็น
    ส่วนที่ 3ซึ่งประกอบด้วย
    ๓ ส่วนใหม่ได้ คล้ายส่วนที่ 1. คือจะเห็น
    ๑.ผู้ดูหรือตัวที่ทำให้มองเห็นตัวจิต
    ๒.ตัวจิต ๓. ผู้รู้(ไม่รู้กระบวนการเกิดรู้แค่ที่ไปกระทบ)หรือตัวที่ส่งออกจากจิตไปกะทบ
    ทั้งหมดนี้เป็นแค่กระบวนการปรุงแต่งอย่างหนึ่งอยู่

    ปล ในส่วนที่ 3 ถ้าหนักสมถะมากไป
    จะเห็น ๑ กับ ๒ และเข้าใจว่าสิ่งที่จิตเห็นต่างๆนาๆ เป็นผู้รู้ที่มาจาก ๑ และจะไม่เห็น ๓


    แต่ถ้าหนักวิปัสสนามากไป จะไม่เห็น ๑
    ทำให้มองไม่เห็นตัวจิต
    แต่จะเห็นกระบวนการที่เกิดได้จาก ๓ ที่ส่งออกจากจิตไปกระทบ
    และจะเข้าใจว่าที่เห็นกระบวนการ
    ที่ไปกระทบนั้นเป็น ๒ เป็นผู้รู้


    ถ้าหนักและเห็น ไม่ว่าสมถะหรือวิปัสสนา
    จะคุยกันไม่รู้เรื่องทั้งชาติ
    ถ้าไม่ปล่อยวางที่ครเห็นก่อน
    เพราะเห็นกันคนละมุม

    กำลังสติที่เริ่มจาก ส่วนที่ 1 และ ส่วน 2
    แล้วพัฒนามา ส่วนที่ 3 นั่นหละถึงจะเห็น
    ทั้งกระบวนการปรุงแต่งของมันได้

    นี่หละความต่างกัน ของกำลังสติครับ
    เป็นไปไม่ได้หรอกครับ
    ที่ใครก็ตาม. ที่พยายาม
    จะสื่อว่าตนเป็นนักวิ่งที่เก่ง
    ที่พยายามสร้างครูบาร์อาจารย์
    ปรมจารย์แห่งตนให้เกิด(เป็นอัตตาล้วนๆ)
    ทั้งที่พุทธฯสอนให้ไม่มี

    แต่กลับไม่รู้วิธีการคลาน
    และวิธีการเดินมาก่อน.
    เพราะมันเป็นไป
    ตามลำดับการพัฒนา

    ไม่ใช่คุยฟุ้งว่าตนวิ่งเก่ง
    แต่มีคนถามว่าคลานและเดินยังไง
    หรือมาเล่าวิธีการคลานและเดินให้ฟัง

    กลับดูถูก ดูแคลน ยกตนข่มท่าน
    (มีทั้งอัตตาและบอกถึงกิเลสที่ไม่ลด
    และการพัฒนาทางด้านการปฏิบัติแห่งตน
    ที่ไม่พัฒนาขึ้นเลย)
    แต่ก็ตอบไม่ได้อีกว่าคลานและเดินอย่างไร

    ธรรมะเป็นสภาวะธรรมะอย่างหนึ่ง
    เป็นของกลาง เป็นสากล
    ไม่มีใครสามารถทำให้เปลี่ยนแปลงได้

    มันคิด วิเคราะห์ แยกแยะ ตีความ
    เอาไม่ได้ เหมือนพระธรรมที่เป็นคำสอน
    ที่สามารถเสริมเติมได้ตามแต่กิเลสแห่งตน

    แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
     
  5. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    พระพุทธองค์ อธิบายไว้

    มันเป็นเรื่องของ "สัญญาขันธ์" ที่ผลิกไป เวลากระทบ ผัสสะ
    ซึ่งเป็น อนัตตาธรรม ไม่สามารถ กะเกณฑ์ได้ว่า เวลากระทบ
    ผัสสะแล้ว สัญญาใด จะเกิดขึ้น ....

    สัญญานั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้น อย่างเดียว ใน หนึ่งคาบลมหายใจ
    ผัสสะที่กระทบ จะเกิด สัญญาดั่งพยับแดด เกิดเป็น แสนโกฏิ
    อย่าง ต่อ ผัสสะ อันเดียว ตัวเดียว

    ทีนี้ สัญญา ก็ว่ากันไป เป็น พยับแดด ผู้ที่ขาดการสดับ ก็จะขาด
    การกำหนดรู้ พอสัญญามันวิปลาส ปรากฏเป็นของเที่ยง จิตมัน
    จะหยิบเอา สัญญานั้นๆ มาปักร่วมกับ เวทนา ที่ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน
    บุคคลเรา เขา อีก

    พอเวทนาปักแล้ว ก็เกิด การตามนอน( เวทนา จะมี อุเบกขาเกิด
    ร่วมเสมอ) ทุกขณะจิต( จิตทุกดวง) ทำให้ สัญญาที่เกิดเวทนาปัก
    ผลิกลงสู่ อนุเสติ กลายเป็น สิ่งที่ ธรรมนิรุติบัญญัติว่า อุปนิสัย อนุสัย
    อนุเสติ หรือ สันดาน ( ซึ่งไม่ใช่เรื่องของ บุคคล สัตว์ ตัวตน บุคคล เรา เขา )

    พอขาดการสดับเรื่อง เวทนา คราวนี้ก็จะ เกิด อัตวาทุปาทาน ขึ้นมา
    เกิด สิ่งที่เป็นวจีสังขารบ้าง กายสังขารบ้าง อภิสังขารบ้าง สำคัญว่า
    มีฤทธิ์ มีเดช มีสหายเป็นกลุ่มอนุสัยทางฤทธิ์ทางโน้น ทางนี้ บ้าง
    ก็เริ่มเกิดเป็น "มานะเจตสิก" ค่อยเกิดความหมอง ด้วยอุปกิเลส อุปทานขันธ์
    เต็มตัว คราวนี้ก็เกิดการบัญญัติเรียก สวรรคิ์บ้าง ยักษ์บ้าง วิทยาธร คนธรรพ์บ้าง
    มหานุษย์บ้าง ฯลฯ

    แต่ น่าเสียดาย ที่ คุงหัวแมว แม้จะเกิด ถูกที่ และ พุทธศาสนา ก็ยังมีอยู่
    ความที่ ภรรยามี แถมตอนนี้มีลูกเพิ่มเป็นราหุลเข้ามาอีก จะพามาฟัง
    ธรรมว่าด้วย สัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น คงจะ ยาก ที่จะรับฟัง แถมได้ยิน
    ก็จะปรากฏเป็น คำหยาบคาย คำอะไรก็ไม่รู้เหมือนถุยน้ำลายใส่หลอก
    ให้พ่อคนนี้เสียความเป็น....... ก็นะ สายไปแล้ว ที่จะเริ่ม สติปัฏฐาน
    เว้นแต่..............

    จะกำหนดรู้ สัญญา ไม่เที่ยง เข้ามาตรงๆได้ หากไม่ ฝัดกันตรงนี้ ร้อยละร้อย
    จะเรียกว่า "สัตวสัญญาเสีย" คือ สัญญาไม่เที่ยง ได้ยินแล้วก็ กลายเป็น
    ไก่ตาแตก หรือไม่ก็ พยักหน้า kuก็รู้สัญญาไม่เที่ยง ( แทนการเห็น อริยสัจจ )
    ก็คงต้อง ...........................

    ....................................โบก มือลา
    เสียงเพลงครวญมาต้องลาแล้วเพื่อน
    กี่ปีจะลับเลือน
    ฝากเพลงคอยย้ำเตือน
    หวน ไห้
    จาก กันไกล
    แม้เพียงร่างกายแต่ใจชิดใกล้
    เมื่อใจเราซึ้งใจ
    ร่วมทางไม่ร้างไกล
    หมาย มั่น
    ขุนเขาไม่อาจขวาง
    สายทางเที่ยงธรรมได้
    ความหวังยังพริ้มพราย
    เก่าตายมีใหม่เสริม
    ชีวิตที่ผ่านพบ
    มีลบย่อมมีเพิ่ม
    ขอเพียงให้เหมือนเดิม
    กำลังใจ
    อย่า อาวรณ์
    รักเราไม่คลอนคลางแคลงแหนงหน่าย
    ให้รักเราละลาย
    กระจายในผองชน
    ผู้ทุกข์ทนตลอด กาล..................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2018
  6. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ท่านเล่าปังลืมไปแล้วเหรอครับ สิ่งที่พระศาสดาอุทานขึ้น คือ โอ้ราหุล และทำให้อยากพบความจริงมากขึ้น เพราะท่านได้สัมผัสทุกข์ที่เกิดกับท่านเองไม่ใช่การคาดว่าทุกข์
    ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บรรลุธรรมด้วยซ้ำ หลายคนบอกว่ามีแบบนั้นทุกข์และทำให้เสียสติ อีกอย่างผมสำผัสได้ว่า ท่านเล่านี่ไม่น่าจะมีบุตรด้วยนะ ทุกข์ที่เกิดตรงนี้ก็ย่อมไม่เคยสัมผัส บางทีผมอยากจะผลิกแล้วก็ได้นะท่าน โดยที่ไม่ต้องมโนว่านี่คือทุกข์
    คือผมเห็นทุกข์จริง

    ในสิ่งที่เป็นสติท่านกล่าวได้น่าฟังยิ่งนัก
     
  7. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เจ้าพี่ จะยืนอยู่ใต้ร่มมะขามเพื่อการณ์อันใด

    ภายภาคหน้า ยุทธหัตถีสวมหัวแมวเข้าสัปยุทธจะไม่มีอีกแล้ว
    ขอจงออกมาสร้างเกรียติภูมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง แก่คนหัวกล้วยที่
    ห่วงบุญ ห่วงกุศล ห่วงการไม่ได้ทำดี ห่วงการละอัตตาไปกินขนมยาย เถิด

    ทุมยาบาเล!!

    ทุมยาบาเล

    เจ็บใจคนรักมีรังแค
    ข้าจะเผาเมืองแปรให้มันวอดวาย
    จะตายให้เขาลือชายจะให้เขาลือชาย
    ว่านามชื่อกู
    ฟ้า.. ลุ่ม อิรวดี คืนนี้ มีแต่ดาว
    แจ่มแสง แวววาว หื่อฮือฮื้อ ฮือ ฮือหื่อ
    เด่นอะคร้าว สว่างไสว
    เสียง คลื่น เร้าฤดี คืนนี้ข้าเปลี่ยวใจ
    เหน็บหนาว ทรวงใน หื่อฮือ ฮื้อ ฮือฮือหื่อ
    แต่ไฉนข้าเศร้า วิญญา
    ข้ามา.. ทำศึก ลำเค็ญ
    เหนื่อยแสนยากเย็น ไม่เว้นว่างเปล่า
    เพื่อศักดิ์ชาว ตองอูถึงจะตาย จะอยู่
    ขอเชิดชู มังตรา
    ดวงใจ ข้ามอบ จอมขวัญ
    มั่นรักต่อกัน มิ่งขวัญจันทรา
    กุ สุ มา ยอด ชู้ รักเจ้าเพียงเอ็นดู
    ไว้เชิดชู ดวงแด...
    ไป รบอยู่ แห่งไหน ใจ คนึงถึง เจ้า
    เคยเล้าโลมโฉมแม่ ข้ากลับ มาเมืองแปร
    มองเหลียวแล แสนเปลี่ยว เปล่า
    ไม่มี.. แต่เงาข้าเศร้า อาลัย
    หัวใจแทบขาด อนาถ ใจ ไม่คลาย
    ทุมยาบาเล
    ทุมยาบาเล
    ไม่มีแต่เงาข้าเศร้าอาลัยหัวแทบขาด
    อนาถใจไม่คลาย
    เจ็บใจ คนรัก โดนรังแก
    ข้าจะเผา เมืองแปร ให้มัน วอดวาย
    จะตาย ให้เขาลือชาย
    จะให้เขาลือชาย ว่านามชื่อกู
    ผู้ชนะ สิบทิศ ผู้ชนะ สิบทิศ
    ผู้ชนะ สิบทิศ ผู้ชนะ สิบทิศ
    ผู้ ช... นะ... สิบ... ทิศ...
    ฮื้อ... ฮือ.... หื่อ.... ฮือ... ฮื้อ....
     
  8. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    ออกมานานแล้วขอรับ กระผมลงทุนน้อย แต่หวังปันผลสูง
    กระผมดำรงสติไว้ตรงหน้า ให้ได้แค่นี้เอง


    นิสัยของแมวดูเชื่อง แต่อย่าไว้ใจมัน
     
  9. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
  10. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    แบบนี้ก็เป็นอีกวิธีที่ใช้เพิ่มสติ ก็คือ คอยดูว่าตัวเองยังมีสติไหม ระลึกอยู่เรื่อยๆ
    หมั่นสร้างบุญบารมี สติก็เพิ่มเหมือนกัน
     
  11. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    เกากะทู้ ไว้ ไม่เสีย

    ขอโอกาสผู้น้อยแก้ที วะ
     
  12. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ใครจะไปรู้

    เขาว่ากันว่า "น้ำนิ่ง แต่ไหล" เป็น ธรรมานิพนธ์ จบดุษฏีของพระ

    แต่วันหน้า

    "หน้านิ่ง แต่ไหว" ก็อาจจะเป็น .........................
     
  13. แค่พลัง

    แค่พลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    2,792
    ค่าพลัง:
    +1,565
    กระผมไม่มีอะไรกล่าว ขอไว้อาลัยหัวแมว ขอรับ
    กราบ บังกะโล ลา
     
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตั้งคำถามไว้ "ผิดที่" เพราะ อาการของ "สติ" จริง ๆ นั้น "ไม่มีต่าง"
    +++ ตรงนี้ พูดได้ "ถูกที่" เพราะ "สติ" นั้น เป็น "ของกลาง" จริง ๆ
    +++ คำตอบจริง ๆ "เป็นดังที่ตอบไป นั่นแหละ" ไม่ได้กวน แม้ว่า "จะดูเหมือน" กวน ก็ตาม
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ยังใช้ไม่ได้ "สติ" ไม่ได้มีเฉพาะ "ตรงหน้า" เพราะมันไม่ใช่ "รู้ธรรมเฉพาะ ตรงหน้า" แล้ว "ตรงอื่น ๆ ล่ะ" ไม่รู้เหมือนเคย หรือ ป่าว...

    +++ "รู้ธรรมเฉพาะหน้า" คือ "รู้ สภาวะ ทั้ง ภายนอก/ใน ผัสสะ/สัมผัส" ได้ ณ ปัจจุบัณขณะ

    +++ การรู้นี้ "เป็น รู้รอบ 360 องศา ครอบคลุม ทั้งหมด โดย ไร้ขอบเขต" ลองสังเกตุดู ก็ รู้ ได้เองแหละ

    +++ อาการของสติจริง ๆ มัน "ดำรงค์ อยู่ในตัวมันเอง อยู่แล้ว" เพียงแต่ "เราไม่รู้" เท่านั้นเอง

    +++ เราได้นิสัยในการ ปล่อย ให้สิ่งอื่นเข้ามา "บดบัง" สติ เสียจนมิดชิด

    +++ แล้ว "เพลิดเพลิน ในความ ไม่รู้" ที่เข้ามา "ปิดบัง สติ" โดยสิ้นเชิง

    +++ ดังนั้น อาการของ "สติที่แท้ จึง ไม่ใช่ระลึก รู้" แต่มัน "รู้ อยู่แล้วนั่นเอง"

    +++ และ โพสท์นี้ ก็คือ คำเฉลยของ โพสท์ข้างบนนั้น นะครับ
     
  16. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    จริงๆแล้ว
    ข้าพเจ้าก็คือคนที่ตายไปแล้วนั้นเอง
    ท่านทั่งหลาย
     
  17. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    ตายไปตั้งนานแล้ว
    แค่นั้นเอง
    จะเอามาเป็นธุระสำคัญอะไร
    ให้เสียเวลา
    ท่านทั้งหลายจงปฎิบัติเพื่อ
    หาที่ตายของพวกท่านเองเถิดน๊าาา
    :D:D:D
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...