หลวงพ่อพวง หลวงพ่อกวย หลวงปู่หมุน ธรรมะหลวงปู่เทพโลกอุดร

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย teerapote, 2 เมษายน 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เหรียญรักชาติเนื้อทองแดงธรรมชาติ หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน ตอกโค้ด" บุญ "​


    [​IMG]


    เหรียญรักชาติ นี้ องค์หลวงพ่อเกิดท่านว่าตั้งทำให้เต็มที่ “ถ้าไม่ช่วยคนดีแล้วจะช่วยใคร” สำหรับคนที่ปรารถนาดีต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์แล้ว ถึงไหนถึงกัน ด้วยจิตอันเปรี่ยมด้วยเมตตาที่มีต่อมวลมนุษย์ ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันแล้วนั้นจะนิ่งดูดายไม่ได้ เพราะถ้าหากแผ่นดินขวานทองนี้เดือดร้อน ท่านจะมาเพิกเฉยก็กระไรอยู่ จึงพิจารณาว่ากิจอันใด ซึ่งสมณะธรรมดาๆองค์หนึ่งนี้ พอช่วยได้ก็จะทำให้เต็มกำลัง จึงควรแล้วที่จะเกื้อกูลแก่ประเทศชาติบ้าง ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายผู้มีเจตนาดี มีกุศลจิตเป็นเบื้องต้น เป็นผู้มีสำนึกกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน จงได้รอดพ้นภยันตราย และมีชัยเหนือบรรดามารอริราชศัตรู ท่านยังกล่าวอีกว่าครูบาอาจารย์ของท่าน ผู้สำเร็จขั้นอภิญญาสมาบัติ ซึ่งมีอุปนิสัยบารมีในทางเล่นฤทธิ์ เชี่ยวชาญในกองสมถะวิปัสสนา พร้อมสนับสนุนท่านเต็มที่ ซึ่งในการอธิษฐานจิตปลุกเสกเหรียญรักชาติครั้งนี้ ต้องใช้สมาธิจิตชั้นสูงเหมือนกับที่เคยเสกเหรียญแผ่นดินไหว เมื่อคราวฉลองอุโบสถ เมื่อปี 2519 ประกอบกับการอธิษฐานฤทธิ์ล้วนๆ ถ้าวิบากกรรมไม่ซ้ำหนักเป็นที่อยู่รอดปลอดภัยเชื่อถือได้แน่ แต่กรณีนี้เป็นวิธีการเฉพาะเหรียญรักชาติเท่านั้น เพราะต้องการให้เอาไว้ใช้งานกันจริงๆ

    รูปแบของเหรียญรักชาตินี้ เป็นเหรียญที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร แต่ทรงคุณค่าทางจิตใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย อันเป็นมาตุภูมิที่มีความศักดิ์อยู่ในตัว จนได้ชื่อว่าเป็นสุวรรณภูมิ เพราะความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธ์ธัญญาหาร ความเจริญรุ่งเรืองทางด้านศาสนา วัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกมานับพันปี ด้านหน้าประจุด้วยพระคาถาพระพุทธเจ้าสิบชาติ ด้านหลังประจุด้วยพระคาถาพระอรหันต์แปดทิศ ตรงกลางเหรียญประทับด้วยภาษาไทยที่เตือนใจให้ชาวไทยทั้งปวงสำนึกรักในแผ่นดินขวานทองนี้ว่า “รักกันไว้เถิด เกิดร่วมแดนไทย” เพื่อเป็นการประสิทธิ์คุณแห่งพระรัตนะตรัย ท่านว่าคุณแห่งพระรัตนตรัยเป็นคุณแห่งความบริสุทธิ์ หากจะให้เร็วแรงมีอิทธิฤทธิ์โดยตรงแล้ว ก็ต้องอาศัยบารมีพระสยามเทวาธิราชผู้เป็นเทพยดาประจำประเทศไทยนี่แหละจึงจะตรงงาน การจะอัญเชิญฤทธานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช ให้ประสิทธิ์ประสาทประดุจหนึ่งแฝงกายไว้ในแต่ละเหรียญนั้น คงจะไม่ใช่เรื่องเกินกำลัง เพราะด้วยเจตนาดีเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และสยามประเทศเหตุใดเทวดาอารักษ์ทั้งหลายจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเล่า การสร้างของสำคัญเช่นนี้ถ้าจะให้ดี ให้ใช้แผ่นตะกรุดแทนชนวนโลหะทั้งหมดเลย เรียกว่าลงแผ่นต่อแผ่นกันเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าเอาชนวนมาทำท่าเจิมๆกันเท่านั้น เอาให้มีอำนาจแห่งการอธิษฐานจิตอยู่ทุกอณูโลหะ ไม่ต้องมีช่องว่างที่เปล่าประโยชน์เลยทีเดียว

    ส่วนที่เหลือจากแจกทหารเปิดให้บูชาเพื่อนำปัจจัยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
    1. สมทบทุนสร้างกุฏิกรรมฐานบนยอดเขาวัดเขาดิน
    2. ช่วยเหลือทหารหาญที่ทุพพลภาพจากการปฏิบัติหน้าที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้

    เหรียญรักชาติที่จัดสร้างในครั้งนี้ประกอบด้วย
    1. เนื้อทองแดงรมดำ ตอกโค้ด “สันติ” สร้าง 4,000 เหรียญ ( แจกทหาร 3,000 เหรียญ )
    2. เนื้อทองแดงธรรมชาติ ตอกโค้ด “บุญ” สร้าง 2,000 เหรียญ
    พิธีพุทธาภิเษกเมื่อวันที่ 12 ส.ค.2548 ณ อุโบสถวัดเขาดิน

    ให้บูชา 650 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00864.JPG
      DSC00864.JPG
      ขนาดไฟล์:
      376.3 KB
      เปิดดู:
      7,613
    • DSC00865.JPG
      DSC00865.JPG
      ขนาดไฟล์:
      906.8 KB
      เปิดดู:
      327
  2. then9

    then9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    114
    ค่าพลัง:
    +233
    ขอทราบราคาทาง PM ด้วยครับ...!!

    รายการ...พระสมเด็จรุ่นสุดท้าย เนื้อผงขาว แก่ผงพุทธคุณ สภาพสวยสมบูรณ์
     
  3. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เหรียญเสาร์ห้า เนื้อทองแดงรมดำหลังเบ็นซ์สามเสือ หลวงพ่อเปิ่น ปี 2536


    [​IMG]


    เหรียญเบนซ์สามเสือ หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ วัดบางพระ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ในมหามงคลฤกษ์เสาร์ ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปี พ.ศ.2536 เป็นวันเสาร์ ๕ ตัวผู้เหมาะสำหรับประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ทางวัดบางพระจึงได้จัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นเสาร์ ๕ ขึ้นมาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ เหรียญเบนซ์สามเสือ เป็นเหรียญเนื้อทองแดงทรงกลมขนาด 3 ซม. ด้านหน้าเป็นรูปหลวงพ่อเปิ่นนั่งเต็มองค์ ล้อมด้วยอักขระหัวใจพาหุง หัวใจยอดศีล และหัวใจพระกรณี ด้านหลังเป็นตราดาวสามแฉก ล้อมด้วยเสือมหาอำนาจ 3 ตัว เป็นเหรียญที่สวยงดงามมาก ออกให้บูชาที่วัดยบางพระในสมัยนั้นเป็นที่นิยมมาก ปัจจุบันเหรียญรุ่นนี้หมดจากวัดนานแล้วครับ เหรียญสภาพสวยไม่ผ่านการใช้

    ปิดรายการนี้แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00862.JPG
      DSC00862.JPG
      ขนาดไฟล์:
      407.9 KB
      เปิดดู:
      7,824
    • DSC00863.JPG
      DSC00863.JPG
      ขนาดไฟล์:
      957.2 KB
      เปิดดู:
      209
    • DSC00875.JPG
      DSC00875.JPG
      ขนาดไฟล์:
      710.9 KB
      เปิดดู:
      129
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2015
  4. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เหรียญเก้าเหลี่ยมเพชร เนื้อทองแดงรมดำ หลวงปู่โสฬส วัดโคกอู่ทอง


    [​IMG]


    เหรียญ ๙ เหลี่ยมเพชร เหรียญนี้หลวงปู่ท่านให้พิจารณาดูให้ดี จะมีความหมายแฝงอยู่ ๒นัยยะ ทั้งทางโลกและทางธรรม ในทางธรรมนั้นหมายถึง นวหรคุณ คุณของพระพุทธเจ้าเก้าประการ จากบทพุทธคุณนั้นเอง หรือ เรียกกันตามตำราว่า อิติปิโสเก้าห้อง นับตั้งแต่ห้องที่ ๑. คือ อะระหัง หมายถึง เป็นผู้ดับเพลิงทุกข์ เพลิงกิเลสโดยสินเชิง บทนี้ใช้ด้านกันไฟทั้งปวง ๒.คือสัมมาสัมพุทโ ธ หมายถึง เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตัวพระองค์เอง บทนี้ใช้เป็นตบะเดชะเสริมสร้างสง่าราศี ๓. คือ วิชาจะระณะสัมปันโน หมายถึง เป็นผู้พร้อมด้วยวิชาและจรณะ บทนี้ใช้ด้านโภคทรัพย์โชคลาภ ๔. คือ สุคะโต หมายถึงเป็นผู้ดำเนินไปได้ด้วยดี บทนี้ใช้ในด้านการเดินทาง ทั้งทางบก น้ำ อากาศ ๕.คือ โลกะวิทู หมายถึง เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง บทนี้ใช้ภาวะนาเมื่อเข้าป่าหรือที่มืด ๖. คือ อนุตตโร ปุริสะทัมมะสารถี หมายถึง เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้ควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า บทนี้ใช้ทางมหาอำนาจ ตวาดผี ๗. คือ สัตถาเทวะมนุษานัง หมายถึง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บทนี้ใช้ทางเมตามหานิยม สมณะ ขุนนางเอ็นดู ๘.คือ พุทโธ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน บทนี้ใช้ภาวะนาอารมณ์ ทำให้ไม่ตกต่ำอับจน ๙. คือ ภะคะวาติ หมายถึง เป็นผู้จำเริญ จำแนก ธรรม สั่งสอนสัตว์ดังนี้ บทนี้ใช้ในทางป้องกันภยันอันตรายอันจะกระทำแก่เรา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อมนุษย์ อสูรกาย สัตว์เดียรฉาน กันการปะทุษร้ายเหล่านั้นได้ทั้งสิ้นแล หรือสรุปโดยย่อเป็นองค์ภาวนา คาถานวหคุณ ก็คือ อะ สัง วิ สุ โล ปุ สะ พุ ภะ หัวใจพุทธคุณนั่งเอง ความหมายในทางโลกนั้นสื่อแทนความก้าวหน้า ความเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งในด้านเนื้อหามวลสารยังประกอบไปด้วยเหรียญ ๕ บาท ๙ เหลี่ยมหลังครุฑ จำนวน ๙๙ เหรียญ นั่นหมายถึง ความเจริญก้าวหน้าที่แรงทั้งตีนต้นและตีนปลาย คือดีตั้งแต่ต้นตลอดจนเสร็จสิ้นการประกอบกิจการงานทั้งปวง โบราณจารย์ท่านว่า ของหลวงศักสิทธิ์ทั้งนั้นของสมมุติเทพ เชียวนะ สำคัญนัก นอกจากเหรียญ ๕ บาท ๙ เหลี่ยมหลังครุฑแล้วยังมีลูกศิษย์ใกล้ชิด เสียสละตะกรุดตันหลวง และตะกรุดตันน้อยมาเป็นชนวนในครั้งนี้ด้วย และที่สำคัญก็คือ เหรียญ๙เหลี่ยมรุ่นแรก เอาเคล็ดที่ว่า ลูกจะเกิดได้ต้องอาศัยเชื้อแม่ แม่แรงอย่างไร ลูกแรงกว่านั้น เพราะประสบการณ์เหรียญรุ่นแรก เป็นที่ประจักษ์ตา กระจ่างใจ เหล่าทหาร ตำรวจที่ใช้ต่างมั่นใจในคุณภาพที่คับแก้ว จนปริมาณ ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะผู้ที่นำไปบูชาติดตัว นอกจากจะรอดพ้นภยันอันตรายจากสมรภูมิมาราวปาฏิหาริย์แล้วต่างก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มอัตราเงินเดือนได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นที่รักใคร่และไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา มีความเจริญก้าวหน้าที่เป็นพิเศษอีกด้วย

    เหรียญ ๙ เหลี่ยมเพชร เนื้อทองแดงรมดำ ปี 2548 หลวงปู่โสฬส วัดโคกอู่ทอง จ.ปราจีนบุรี รุ่น "โสฬสมหามงคล ปี ๔๘" สร้างเพียง 991 เหรียญ ตอกโค้ด แถมราคายังขยับขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วยครับ อีกทั้งประสบการณ์ ผู้ที่เคยให้วัตถุมงคลของหลวงปู่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสุดยอด ครอบจักรวาล

    ปิดรายการนี้แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00860.JPG
      DSC00860.JPG
      ขนาดไฟล์:
      399.9 KB
      เปิดดู:
      4,791
    • DSC00861.JPG
      DSC00861.JPG
      ขนาดไฟล์:
      972.7 KB
      เปิดดู:
      166
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 ตุลาคม 2015
  5. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    พระโชว์ หลวงปู่เทพโลกอุดรพิมพ์นั่งตอรุ่น ๑ วัดป่าสักภักดีภูริทัต


    [​IMG]


    องค์นี้ครับที่ห้อยคอ ตอนขับรถแหกโค้งหักศอก อยู่รอดปลอดภัยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00873.JPG
      DSC00873.JPG
      ขนาดไฟล์:
      360 KB
      เปิดดู:
      5,302
    • DSC00874.JPG
      DSC00874.JPG
      ขนาดไฟล์:
      767.2 KB
      เปิดดู:
      148
  6. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เหรียญชนะจน เนื้อตะกั่ว หลวงปู่ทิม วัดพระขาว


    [​IMG]


    เหรียญชนะจนสร้างในวาระสำคัญเมื่อคราวหลวงปู่ทิมอายุครบ 7 รอบ 84 ปี เมื่อ พ.ศ. 2540 รูปแบบเหรียญเป็นทรงเหรียญรูปไข่ ออกแบบอย่างง่าย แต่ดูมีเสน่ห์และอมตะ ด้านหน้าของเหรียญเป็นรูปหลวงปู่นั่งเต็มองค์บนโต๊ะบูชา ด้านบนเป็นอักขระขอมเขียนว่า "เมตตาจิตตัง" ด้านล่างเขียนอักษรไทย "ครบ 7 รอบ" ส่วนด้านหลังเหรียญเขียนอักขระขอมคาถา เมตตา มหานิยม รอบเหรียญ ตรงกลางเป็นถุงเงินเรียกทรัพย์ ทุกอย่างออกแบบได้อย่างลงตัวและสวยงามอย่างยิ่ง ในหมู่ลูกศิษย์ทั้งหมดถ้าพูดถึงเหรียญหลวงปู่แล้วจะยกให้เหรียญชนะจนเป็นเหรียญอันดับหนึ่งเป็นเอกฉันท์ พุทธคุณครอบจักรวาลทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาด คงกระพัน และชาตรี

    เหรียญชนะจน เนื้อตะกั่ว จำนวนการสร้าง 10,000 เหรียญ ตอกโค้ด ท รัศมี,นะหยดน้ำ,ยันต์องค์พระ ไม่มีหมายเลขกำกับ เป็นเหรียญรุ่นเดียวเท่านั้นที่หลวงปู่ทิมท่านตั้งชื่อให้รุ่นนี้ จึงทำให้เหรียญรุ่นนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน

    ปิดรายการนี้แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00858.JPG
      DSC00858.JPG
      ขนาดไฟล์:
      511.2 KB
      เปิดดู:
      5,191
    • DSC00859.JPG
      DSC00859.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      169
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 กันยายน 2014
  7. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    หลวงตาดำ (ครูในดง)​


    a.jpg


    พระบูชาหลวงตาดำ (ครูในดง) พระอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้หลวงชาญณรงค์ เนื้อปูนลงรัก ทาสีทอง บรรจุมวลสารในดง และพระวัดปากน้ำ ขนาดฐาน 17 นิ้ว ขนาดหน้าตัก 15 นิ้ว ความสูงจากฐาน 20 นิ้ว นำมาให้ชมสำหรับผู้มีจิตศรัทธาครูบาอาจารย์สายในดง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00882ad.jpg
      DSC00882ad.jpg
      ขนาดไฟล์:
      374.2 KB
      เปิดดู:
      5,085
    • DSC00882.JPG
      DSC00882.JPG
      ขนาดไฟล์:
      821.4 KB
      เปิดดู:
      272
  8. DeWZz

    DeWZz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +163
    ขอบูชาองค์นี้ค่ะ


    ขอบูชาองค์นี้ค่ะ
     
  9. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    รับทราบการจอง ขอบคุณครับ
     
  10. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    พระเนื้อดินของ ลพ.กวย พิธีใหญ่วัดพระปรางค์


    [​IMG]


    พระเนื้อดินของ ลพ.กวย พิธีใหญ่วัดพระปรางค์ ที่สร้างและปลุกเสกไว้อย่างดี
    ในเนื้อพระจะผสมผงพุทธคุณ และจะมองเห็นแร่ทรายเงินผสมอยู่ด้วยตาเปล่า
    เป็นพระเนื้อดินที่น่าบูชามากของ ลพ.กวย
    ปิดรายการนี้แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 กรกฎาคม 2014
  11. DeWZz

    DeWZz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +163
    เเจ้งโอนเงิน พระสมเด็จหลังพระสิวลี หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตาราม ปี 2515 เนื้อผงน้ำมัน
    รายละเอียดตาม PM นะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    ขอบคุณครับ จัดส่งแล้วจะแจ้งเลขที่จัดส่ง EMS ให้ทราบอีกครั้งครับ
     
  13. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เค้าโครงเรื่องการฝึกจิต (สมาธิ – วิปัสสนา)

    โดย อภิชิโต ภิกขุ ( อาจารย์ ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ )


    [​IMG]


    ๑. ดึงความสนใจด้วยชื่อเรื่องว่า “ ลำดับเส้นทางที่หนีความตายได้ ” กล่าวนำพูดสมาธิไปในรูปแยกจิต

    ๒. แยกมนุษย์เป็น ๒ ส่วน ๒ ส่วนนี้ ( กาย – ใจ ) แยกกันเด็ดขาด ได้ทั้งเวลาตาย และยังมีชีวิตอยู่ ยกตัวอย่างให้เชื่อถือได้

    ๓. วิธีแยกจิตออกจากร่างระหว่างมีชีวิตอยู่
    - วิธีแยกที่ได้ผล ( การฝึกจิต )
    - ลำดับตอนสำคัญที่มักจะเข้าใจจิต หรือติดขัดต่อการแยกจิต

    ๔. วิธีแยกจิตออกจากกิเลส ( วิปัสสนา )

    ๕. ตอบปัญหาน่ารู้ และสรุปให้เห็นว่าหนีความตายได้จริง

    ลำดับเส้นทางที่หนีความตายได้

    จริงอยู่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีผู้พบเส้นทางซึ่งช่วยให้หนีความตายได้ แต่ก็มีหลายเรื่องไม่ใช่หรือที่ไม่น่าเป็นไปได้ แล้วกลับปรากฏชัดว่าเป็นไปได้ ในปัจจุบันถ้าไม่มีแว่นขยายที่ดี เราคงไม่ทราบว่า ตัวเชื้อโรคอหิวาต์ กาฬโรค และวัณโรค เป็นอย่างไร จะป้องกันรักษาให้ได้ผลดีเหมือนปัจจุบันนี้คงไม่ได้ ทำนองเดียวกัน เราจะต้องมีแว่นขยายที่ดีจึงจะมองเห็นได้ชัดว่า เส้นทางหนีความตายนั้นมีจริง และทุกคนสามารถเดินไปตามทางเส้นนี้ได้ถูกต้อง ต่อไปนี้ เป็นแว่นที่น่าจะช่วยให้เห็นเส้นทางหนีความตายได้ตลอดสายเพียงสั้นๆ แต่คาดว่าจะช่วยให้จะช่วยให้ผู้ที่ไม่เคยเดิน เห็นเส้นทางนี้ชัดเจนได้ ผู้ที่เคยเดินทางเส้นนี้ไปติดขัดอยู่ ก็จะได้เห็นสิ่งติดขัดนั้น เพราะเป็นข้อความที่กลั่นกรองมาจากท่านผู้ปฏิบัติได้จริงหลายท่าน

    อันมนุษย์เรานี้ แยกเป็นส่วนใหญ่ ๆ ได้ ๒ ส่วน ร่างกาย ส่วนหนึ่ง กับ จิต อีกส่วนหนึ่ง จิต เป็นผู้ควบคุมร่างกาย ทำให้ส่วนต่าง ๆทำงานตามหน้าที่ และมีชีวิตชีวาขึ้นได้ จิตที่แยกออกจากร่างกาย ในขณะที่ตาย หรือในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ มักจะนิยมเรียกกันว่า วิญญาณ อย่าเข้าใจว่า จิต กับ วิญญาณ เป็นคนละอย่าง

    เนื่องจากการไปมาติดต่อกัน ให้ข่าวคราวกัน สะดวกมากในสมัยนี้ ฉะนั้นถ้าเรามีความสนใจทางจิต หรือเรื่องราวแปลก ๆ ก็จะไปพบ หรือไปดู ได้หลายแห่งว่า มีผู้นั่งทางใน หรือนั่นคือ ใช้กระแสจิตไปดูคน สิ่งของที่อยู่ไกล ๆ ได้ สามารถบอกลักษณะบ้านเรือนของเรา หรือสถานที่ที่อื่นได้ถูกต้อง และเห็นรายละเอียดที่ต้องการได้ เรื่องนี้ก็เป็นเพราะการแยกจิตออกจากร่างกายของตนได้ จึงไปเห็นของไกล ๆ หรือเห็นของในที่กำบังได้

    เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โปรดย้อนระลึกดูว่า มีบางครั้งหรือเปล่าที่เราเดินสวนกันกับเพื่อนที่คุ้นเคยกันดี แต่บางทีเราไม่เห็นเพื่อน หรือเพื่อนคนนั้นไม่เห็นเรา ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายก็ลืมตามองเห็นสิ่งต่าง ๆ รอบๆ ตัวอยู่ บางทีไปนั่งอยู่ใกล้กันครู่ใหญ่ ๆ ไม่เห็นกัน จนอีกฝ่ายทักจึงเห็น โดยที่ไม่มีเจตนาจะแกล้งทำไม่เห็นเลย นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นพยานว่า จิตเรานี้ควบคุมร่างกายอยู่ ถึงแม้ว่าตาเราลืมโพลงอยู่ แต่ก็อาจไม่เห็นบางสิ่งบางอย่างได้ หรือจะพูดอีกแง่หนึ่งก็คือ จิตเราแยกไปจากร่างกายเป็นบางส่วน ไปสนใจคิดเรื่องอื่น หรือดูสิ่งอื่นจึงขาดการควบคุมตาในบางซีกเสีย ถ้าเราแยกจิตออกได้ดีขึ้นอีก ก็ไปเห็น ไปได้ยินสิ่งไกล ๆ ได้ ดังที่หมอดูทางในหรือคนเข้าทรงหลายคนทำได้ ที่มีการเห็นผิดพลาดไปบ้างก็เพราะการแยกจิตนั้นกระทำไม่ได้ดีถึงขนาด เปรียบเสมือนคนตกใจเวลาไฟไหม้ยกกำปั่นหนัก ๆ ของตนได้ แต่เวลาปกติยกไม่ได้ หรือถ้าไฟไหม้ครั้งหลังอาจจะยกไม่ได้ ในเมื่อกำปั่นนั้นหนักเท่ากัน และรู้ว่าบรรจุดินหรือทรายไว้ ไม่มีค่าอะไร นี่ก็เป็นเครื่องพิจารณาได้ว่า จิตของเราแยกออกจาร่างกายได้เด็ดขาดก็จะลืมตัวไปว่า กำลังขนาดนี้จะยกกำปั่นไม่ได้ ไปนึกหรือตั้งใจเอจริงจังว่าจะยกไปท่าเดียว หรือร่างกายเราอยู่ที่นี่ จะให้เราไปดูสิ่งที่อยู่ไกล ๆ เราก็ต้องบอกว่าดูไม่ได้ แต่พอจิตเราเริ่มแยกออกจากร่างกายได้ ใครมาถามให้ดูอะไรจิตที่มีอิสระก็ไปดูได้จริง ๆ ถ้ายิ่งแยกไปได้เด็ดขาดและนาน ๆ ได้ การดูการเห็นการได้ยินนั้นก็ชัดเจนถูกต้อทุกอย่าง และก็แน่เหลือเกิน ถ้าเราแยกจิตจากร่างกายได้ดังนั้น เราก็ไม่หิว ไม่ง่วง ไม่มีการเจ็บปวดขัดยอกที่ใดเลย ทั้ง ๆ ที่เรามีบาดแผลเจ็บปวดอยู่ก่อนการแยกจิต ทั้งนี้ เพราะตัวรู้ ตัวผู้บงการให้รู้ว่า เจ็บปวด ง่วง หิว ไม่มีกำกับเสียแล้ว จะได้บอกวิธีพิสูจน์ให้รู่แน่ชัดว่า จริงต่อไปเพียงแค่นี้ ถ้าตรึกตรองตามดี ๆ ก็พอคิดได้ถูกต้องว่า “จิตกับร่างกายนี้แยกจากกันได้ทั้งแยกออกได้บางส่วน หรือแยกออกโดยเด็ดขาด” ระหว่างที่แยกออกได้ก็ทำให้เราไม่มีการหิว ไม่มีการง่วง ไม่มีการเจ็บปวด ความเศร้าโศกเสียใจ ความโกรธแค้นที่มีอยู่ก็หายไปหมด เราจะใช้วิธีง่าย ๆ เอาตามหลักวิชาสมัยใหม่ว่าจะแก้ทุกข์ แก้ความเสียใจ แก้ความโกรธแค้รน หรือแก้ทุกข์ร้อนอย่างอื่น เขาก็บอกให้แก้โดยให้ลืมเรื่องนั้นเสีย ให้คิดในแง่ขบขัน หรือให้คิดเรื่องอื่นที่น่าสบายใจ เป็นต้น ทุกวิธีก็ทำไม่ได้ “เพราะมีปัญหาใหญ่อยู่อย่างเดียว คือลืมเรื่องนั้นไม่ได้” ถ้าลืมได้สนิทก็ต้องแก้ทุกข์ได้เด็ดขาด

    เพื่อไม่ให้ผู้อ่านไปต้องไปค้นคว้าหาความจริงอยู่อีก จะขอบอกลัดเสียเลยว่าเท่าที่ค้นคว้าไต่ถามผู้รู้มามากแล้ว วิธีที่จะแก้ทุกข์ ทำให้เกิดความสุขได้แน่นอนนั้น มีวิธีเด็ดขาดอยู่อย่างเดียว คือ การแยกจิตออกจากร่างกาย เมื่อแยกจิตออกจากร่างกายได้แล้วย่อมจะแก้ทุกข์ แก้หิว แก้ง่วง แก้เสียใจ แก้เจ็บปวดได้หมด และจะทำให้พบความสุขอย่างแท้จริง นอกจากนั้น ยังมีอำนาจจิตมากขึ้นจนทำอะไรได้แปลก ๆ เช่น เห็นทางในได้หรือแปลงธาตุจากธาตุหนึ่งเป็นวัตถุอีกอย่างหนึ่งได้ ซึ่งพอหาดูได้จริงหลายแห่ง ส่วนชั้นพิสดารไปกว่านี้ ก็ต้องพยายามสืบเสาะหน่อยถึงจะได้เห็น

    หากสนใจโปรดติดตาม วิธีการแยกจิตออกจากร่างกาย ตอนต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 สิงหาคม 2014
  14. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    ผมได้จัดส่งพระให้แล้ววันที่ 4 กรกฎาคม 2557 เวลา 08.49 น. EMS เลขที่ EL 2235 5933 7 TH

    ขอบคุณครับ
     
  15. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    พระพรหม หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ออกวัดโคกมะยม ปี พ.ศ. 2528


    [​IMG]


    พระพรหมของวัดโคกมะยม ต.คานหาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยานั้น เกิดจากการที่ท่านเจ้าอาวาสผู้ยังไม่ชราภาพมีประสงค์จะซ่อมแซมศาลาแต่ยังขาดปัจจัยอยู่มาก มองหาหนทางจะเรี่ยไรให้ได้เงินแสนเงินล้านก็ยากนัก กอปรกับระยะนั้น คือ ปี พ.ศ. 2528 ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ แห่ง วัดสะแก ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยากำลังขจรไปทั่ว เพราะหลวงปู่สี พินทสุวัณโณ พระเถระผู้พี่ได้ทิ้งขันธ์จากหมู่ศิษย์ไปเสียแล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2526

    ทางวัดโคกมะยมจึงมาขออนุญาตจากหลวงปู่ดู่เพื่อสร้างวัตถุมงคล เมื่อหลวงปู่พิจารณาเห็นว่าเป็นไปเพื่อพระศาสนาท่านจึงอนุญาต ทางวัดจึงกลับไปดำเนินการสร้างวัตถุมงคลเป็นรูป "พรหม" โดยยึดตามรูปแบบเดิมของท่านปรมาจารย์เฮง ไพรวัลย์ ด้วยการทำเป็นเหรียญโลหะรูปอาร์มขนาดค่อนข้างเขื่องจำนวนหนึ่ง ชนิดเนื้อที่จำได้คือ เงิน และ ทองแดงรมดำ และได้จัดสร้างพรหมเนื้อผงรูปอาร์มขนาดเล็กกว่าเหรียญขึ้นมาจำนวนประมาณ 10,000 องค์ แล้วนำมาถวายหลวงปู่ดู่อธิษฐานจิตที่วัดสะแกตลอดไตรมาสปี พ.ศ. 2528

    ให้บูชา 900 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00883.JPG
      DSC00883.JPG
      ขนาดไฟล์:
      280.4 KB
      เปิดดู:
      4,539
    • DSC00884.JPG
      DSC00884.JPG
      ขนาดไฟล์:
      611.7 KB
      เปิดดู:
      203
    • images (7)a.jpg
      images (7)a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      270.9 KB
      เปิดดู:
      111
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2014
  16. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    พระหลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง พิมพ์ขี่หนุมาน นนทบุรี ปี2484


    [​IMG]


    พระหลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง พิมพ์ขี่หนุมาน นนทบุรี ปี 2484 เนื้อผงน้ำมันจัดจ้าน บูชา 1,500 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00885.JPG
      DSC00885.JPG
      ขนาดไฟล์:
      394.2 KB
      เปิดดู:
      10,274
    • DSC00886.JPG
      DSC00886.JPG
      ขนาดไฟล์:
      801.4 KB
      เปิดดู:
      276
    • images (7)a.jpg
      images (7)a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      270.9 KB
      เปิดดู:
      125
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2014
  17. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    พระว่านหลวงปู่ทวด พิมพ์เล็ก วัดตานีสโมสร ปัตตานีปี 2505


    [​IMG]


    พระเนื้อว่านหลวงปู่ทวดวัดตานีสโมสรองค์นี้ ศิษย์ของหลวงพ่ออภิชิโตเก็บรักษาไว้นานปีแล้ว และนำเข้าพิธีปลุกเสกต่างๆเพิ่มเติม แต่จะไม่ยืนยันว่า หลวงพ่ออภิชิโตได้ปลุกเสกเพิ่มให้ด้วยหรือไม่ พิจารณากันเอาเอง แต่เป็นพระเก่าและแท้มาตรฐานสากล เป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นมาโดยท่านเจ้าคุณพระปริยัติวรากร เมื่อปี 2505 โดยนำว่านสำคัญที่เคยใช้ทำหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน ในปี 2497 ผสมดินกากยายักษ์และมวลสารตามแบบฉบับวัดช้างให้ จึงทำให้พระมีธรรมชาติเหมือนกัน ได้จัดทำพิธีพุทธาพิเษกขึ้นที่วัดตานีสโมสรและยังไปร่วมใพทธาพิเษกที่วัดควนวิเศษอีกด้วย โดยมีพระคณาจารย์เข้าร่วมมากมาย รวมทั้งพระอาจารย์ทิมแห่งวัดช้างให้ด้วย จึงนับได้ว่าเป็นพระหลวงพ่อทวดต่างวัดอีกสำนักหนึ่งที่มีประวัติการสร้างที่ถูกต้อง และมีคุณค่าแห่งการสะสม โดยพระหลวงพ่อทวดที่ผ่านการปลุกเสกโดยพระอาจารย์ทิมวัดช้างให้ นับได้ว่าปัจจุบันเริ่มหายากและค่อยๆเลือนหายผ่านกาลเวลา จัดเป็นหมวดหมู่ ของพ่อทวด แดนใต้ยุคต้นๆที่น่าบูชาหวังพึ่งอำนาจพุทธคุณอย่างยิ่ง เพราะราคานั้นถือ ว่าเบามากถ้าเทียบกับชื่อชั้นและพิธีกรรมในการสร้างและปลุกเสกอย่างดีเยี่ยม ขนาด 1.8 * 2.5 ซม.

    ปิดรายการนี้แล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00889.JPG
      DSC00889.JPG
      ขนาดไฟล์:
      461.2 KB
      เปิดดู:
      11,543
    • DSC00888.JPG
      DSC00888.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,018.4 KB
      เปิดดู:
      152
    • images (7)a.jpg
      images (7)a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      270.9 KB
      เปิดดู:
      142
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 สิงหาคม 2014
  18. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เค้าโครงเรื่องการฝึกจิต (สมาธิ – วิปัสสนา)

    โดย อภิชิโต ภิกขุ ( อาจารย์ ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ )


    วิธีการแยกจิตออกจากร่างกายนั้น มีวิธีที่แน่นอนอยู่อย่างเดียว คือ

    “ การฝึกจิต ” แบบสมาธิ หรือวิปัสสนา ส่วนวิธีอื่นที่แปลกๆ นั้น ฝึกได้เฉพาะบุคคลพิเศษ นานๆ จึงจะปรากฏ จะได้อธิบายสั้นๆ ในตอนสำคัญๆ แบบเข้าใจง่ายๆ ว่า จิตค่อยๆ แยกจากร่างกายอย่างไร จะได้เป็นเครื่องสังเกตยึดถือได้ว่า ที่เราฝึกสมาธิ ฝึกวิปัสสนาอยู่นั้น ไปถึงไหนแล้ว ถูกทางหรือผิดทาง ถ้าผิดจะแก้อย่างไร

    การพิสูจน์ทดลองแบบสมัยใหม่ จะช่วยให้เราเข้าใจสมาธิและการแยกจิตได้ดีขึ้น เมื่อ ๒ ปีก่อน คณะแพทย์อเมริกาได้ค้นพบว่า มีค้างคาวหลายชนิดที่เกาะนิ่งอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร และไม่เคลื่อนไหวไปไหนเลยตลอดฤดูหนาวเป็นเวลาประมาณ ๓ เดือน ซึ่งเขาเรียกง่ายๆ ว่า พวกค้างคาวจำศีล ค้างคาวสีน้ำตาลซึ่งจำศีลได้ดังกล่าว ได้ถูกจับมาเข้าตู้เย็น ทำให้ค้างคาวเหล่านี้คิดว่าเป็นฤดูหนาว เลยพากันเกาะนิ่งจำศีลอยู่ เมื่อคณะแพทย์จะมีการทดลองผ่าตัดเพื่อการศึกษา ก็ไปเปิดตู้เย็นเอาค้างคาวออกมา นับว่าทุ่นค่าใช้จ่ายดีกว่าเลี้ยงกระต่ายไว้ทดลอง วันหนึ่งคณะแพทย์สงสัยว่า ที่ค้างคาวอยู่นิ่งๆได้ถึง ๓ เดือน ไม่ต้องกินอาหารเลยนั้น การทำงานในร่างกายเป็นอย่างไร? จึงวัดชีพจรและการหายใจดูว่า ระหว่างจำศีลนั้นต่างจากธรรมดาอย่างไร? ปรากฏว่าค้างคาวธรรมดาหายใจนาทีละ ๑๘๐ ครั้ง แต่ขณะจำศีลหายใจเพียงนาทีละ ๓ ครั้งเท่านั้น คือลดลงมา ๖๐ เท่า ส่วนชีพจรและหัวใจก็เต้นช้าลงถึง ๖๐ เท่าเหมือนกัน

    คนเราโดยธรรมดาหายใจนาทีละ ๑๘ ครั้ง ( หายใจเข้าและหายใจออกนับเป็น หนึ่งครั้ง ) แต่เมื่อทดลองทำจิตให้เป็นสมาธิเพียงขั้นต้น ซึ่งทุกคนพอฝึกได้ การหายใจจะลดลงเหลือประมาณนาทีละ ๗ ครั้ง ระหว่างนี้จะรู้สึกสบายปลอดโปร่ง และยังมีอำนาจจิตพิเศษในตัว จะเอามือไปจับเหล็กที่เผาไฟแดงๆ หรือล้วงน้ำมันที่กำลังเดือดได้ ( ควรมีครูแนะนำ )

    วิธีแยกจิตออกด้วยการฝึกสมาธิ
    สมาธิ คือ “ การตั้งจิตมั่นอยู่ในความรับรู้เพียงอย่างเดียว ” ความรับรู้ ( อารมณ์ ) นั้นอาจจะเป็นรูป เป็นความรู้สึก หรือ เป็นความนึกคิดก็ได้ วิธีฝึกสมาธิมีหลายวิธี แต่จะเป็นวิธีใดก็ตามจะไม่มีวิธีอื่นที่นอกเหนือไปจาก วิธีฝึกสมาธิ ๔๐ วิธี ในพระพุทธศาสนา จะคิดวิธีใหม่อย่างไรขึ้น ก็จะต้องวนเวียนอยู่ใน ๔๐ วิธีนี่แหละ ทั้ง ๔๐ วิธีนั้น มีวิธีที่เหมาะกับคนทั่วไป และสะดวกในการฝึกคือ วิธี “ อานาปานสติ ” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “ การกำหนดรู้ลมหายใจ ” ซึ่งจะอธิบายไปในรูปการแยกจิตต่อไป การกำหนดรู้หรือพิจารณาลมหายใจนี้ง่ายในการตรวจสอบว่า สมาธิที่เราทำอยู่นั้นถูกหรือผิด สมาธิก้าวหน้าดีขึ้นหรือคงเดิมหรือถอยหลัง ดังที่ตรวจสอบค้างคาวจำศีล เป็นต้น

    การเริ่มฝึกสมาธิ
    พยายามน้อมจิตมาในทางที่ดีที่สงบ ปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ เพื่อให้จิตใจของเราปลอดโปร่งราบเรียบ จะใช้วิธีสวดมนต์หรือไหว้พระก่อน หรือจะแผ่เมตตาจิตด้วย หรือจะจุดธูปบูชาท่านผู้มีคุณก่อน อย่างใดอย่างหนึ่งก็แล้วแต่โอกาส ข้อสำคัญให้มีการทำจิตสงบดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น

    ต่อไปตั้งความสำนึกรู้อยู่ที่กึ่งกลางดั้งจมูกตรงที่รูจมูกทั้งสองข้างมารวบกัน ในระหว่างที่หายใจเข้าให้ภาวนา “ พุท ” ในระหว่างที่หายใจออกให้ภาวนา “ โธ ” ลองเปลี่ยนลมหายใจเข้าออกให้ลึก สั้น เบา หนัก และคอยสังเกตว่า ลมหายใจเข้าออกแบบไหนที่เรารู้สึกสบายที่สุด หรือรู้สึกปลอดโปร่งดีกว่าเพื่อน จงจำลมหายใจนั้นและพยายามรักษาจังหวะหายใจแบบที่ดีที่สุดไว้ตลอดเวลา ( เหตุที่ตั้งจิต หรือความนึกคิดมาอยู่ที่กึ่งกลางดั้งจมูก เพราะเป็นที่รวมของประสาทรับรู้ที่สำคัญๆ และตัดกังวลที่มัวเลือกว่าตั้งตรงช่องจมูกซ้ายหรือขวา ปลายจมูกหรือรูจมูก ตอนลึกตอนตื้น )

    เมื่อพิจารณาในแง่การแยกจิตออกจากความสนใจในร่างกายทั่วๆ ไป แยกจากเรื่องราวอื่นๆ ผ่อนคลายร่างกายและเลิกสนใจต่อร่างกาย มอบงานให้จิตมาสนใจลมหายใจอยู่เฉพาะบริเวณเดียว ที่เดียว ถ้าจิตไม่เชื่อฟังชอบไปสนใจเรื่องอื่นๆ คิดเรื่องอื่น ชอบนึกเบื่อ นึกว่าเมื่อย นึกกลัวตาย นึกว่าฝึกไปคงไม่ได้ผล นึกอยากจะเกา อยากจะพัก นี่แหละเป็นจิตดื้อ ชอบไปพะวงใจเรื่องร่างกายและเรื่องอื่นๆ เราต้องแก้ด้วยการมอบงานเพิ่มขึ้น หรือใช้วิธีวิปัสสนาสักครู่หนึ่ง พอให้จิตเริ่มสงบไม่ฟุ้งไป จึงเริ่มสมาธิใหม่จัดลมหายใจปรับปรุงลมหายใจใหม่ ซึ่งใช้เวลาอีกเล็กน้อย ได้ลมสบายแล้วก็รักษาไว้ให้นานๆ

    เมื่อรักษาลมหายใจจังหวะที่สบายไว้ได้ จิตก็สงบปลอดโปร่ง เพราะมาชอบความสบายตามวิสัยของทุกคน พอรักษาลมสบายไว้ได้เพียง ๓-๔ นาที จิตก็จะแยกออกจากการรับรู้เรื่องอื่นๆ มารับรู้มาสำนึกอยู่ ติดอยู่ที่สบาย และลืมเรื่องอื่นๆ ไปได้ อาการที่จิตมาสงบนิ่งอยู่ที่เดียวเรื่องเดียว รับรู้นิ่งเรื่องเดียวไม่ฟุ้งซ่านคิดไปเรื่องอื่นๆ นี่แหละคือจิตเป็นสมาธิ แต่การฝึกใหม่ๆ จิตสงบอยู่ไม่ได้นาน นิ่งสงบสบายอยู่ประเดี๋ยวเดียว ก็กลับไปรับรู้ไปคิดเรื่องอื่นอีก ครั้นจัดลมดีก็กลับสงบใหม่ สบายใหม่ สลับกันไปดังนี้ เรียกว่า เราได้สมาธิขั้นต้น ( ถ้าเรียกตามแบบกสิณก็เรียกว่า “ บริกรรมนิมิต ” เพราะขั้นนี้มีนิมิต หรือความรู้สึกแปลกๆ เช่น รู้สึกสบายดังกล่าวแล้ว หรืออาจรู้สึกดีใจ รู้สึกเสียวซ่าน รู้สึกมีความสุข รู้สึกเห็นภาพ เห็นแสงวอบแวบ เป็นต้น )

    ข้อสังเกต การฝึกเริ่มแรก เรามอบงานให้จิตรับรู้หรือสำนึกรู้หลายอย่างก่อน เช่น การจัดลมหายใจ เพื่อหาจังหวะหายใจที่สบายปลอดโปร่ง การคอยรักษาลมสบายหรือจังหวะลมสบายนั้นไว้ การภาวนา “ พุท ” และ “ โธ ” ในขณะหายใจเข้าและออก การตั้งจิตหรือรวมความสำนักอยู่ที่เดียวตรงจุดกึ่งกลางดั้งจมูก การคอยระวังไม่ให้จิตไปนึกเรื่องอื่นหรือเปลี่ยนที่ตั้งที่สำนึกรู้ไป เมื่อจิตเริ่มสงบ งานของจิตจะค่อยลดน้อยลงจนเหลืออย่างเดียวคือจิตนิ่ง รับรู้เรื่องเดียวว่า มีความสุขสบาย ไม่มีการภาวนา พุทโธ ครั้งถึงขั้นสูงสุด ( ฌานที่ ๔ ) ก็แยกจิตออกจากความสุข คงมีแต่ความสงบนิ่งด้วยความมีสติเป็นกลาง ๆ ( อุเบกขา ) อยู่เท่านั้น

    การที่จิตจะลดงานน้อยลงนั้นต้องให้เป็นไปเอง จะตั้งใจลดลงไม่ได้เป็นการเดินทางผิด กล่าวคือเมื่อเลือกลมสบายได้ งานจัดลมก็หมดไป เมื่อรักษาลมสบายไว้ได้จิตมาติดสบาย เลยลืมภาวนาพุทโธ และงานอื่นหมดไปในตัว ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญที่คนเข้าใจผิดกันมาก คือ ก่อนจะลืมภาวนา ลมสบาย จะจัดตัวเองให้สบายขึ้น ลมหายใจเบาลงทุกทีจนไม่รู้สึกว่าตัวหายใจ แต่คงรู้อยู่ว่าจิตอยู่นิ่งทีเดียวและมีความสบายความปลอดโปร่งนี่นับว่าถูกวิธีแล้ว แต่สมาธิขั้นต้นอยู่ครู่เดียวก็ถอยกลับ ขณะที่จิตสมาธิถอยกลับมาเพียงนิดเดียว ทำให้เราระลึกเรื่องอื่นแทรกขึ้นมา หรือมีความรู้สึกอย่างอื่นแทรกขึ้นมา เช่น รู้สึกว่าเราไม่ได้หายใจ นึกกลัวจะตายขึ้นมาเพราะไม่หายใจ แต่ความจริงหายใจเข้าออกอยู่เสมอ แต่แผ่วเบาจนไม่รู้สึกตัว บางทีรู้สึกว่า ตัวลอยขึ้นสูง ๆ ไปเรื่อย ๆ บางทีรู้สึกว่าตกเหวลึกลงไปเรื่อย ๆ บางทีรู้สึกตัวพองใหญ่ขึ้น บางทีรู้สึกชาแขนขา แล้วขยายมากขึ้นทุกที ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ เรียกว่า “ นิมิต ” ความรู้สึกแปลก ๆ นิมิตที่กล่าวแล้วนี้ทำให้คนตกใจ และนึกว่าผิดทางเสียแล้ว ซึ่งความจริงถูกทางแล้ว นึกว่าผิด เลยกลับภาวนาพุทโธอีกเป็นการย้อนไปเริ่มต้นใหม่ เปรียบเหมือนคนขึ้นบันไดไปได้ ๓ ขั้น แล้วย้อนโดดกลับมาขึ้นขั้นที่ ๑ ใหม่ พอถึงขั้นที่ ๓ อีก ก็โดดกลับมาอีก เลยต่อไปขั้น ๔-๕ ไม่ได้

    เราควรระลึกไว้ว่าเป็นเพียงแต่ความรู้สึกไปเท่านั้นว่าไม่ได้หายใจ หรือตัวพองตัวชา ตัวตกเหว ตัวลอยขึ้นสูง ล้วนเป็นเรื่องไม่จริง ความรู้สึกลวงเรา เรามีหน้าที่รักษาสมาธิหรือความสงบนิ่งของจิตไว้เท่านั้น ไม่ภาวนาพุทโธอีก ถ้าตัวพองมากขึ้น ตัวชามากขึ้น ตกเหวมากขึ้น ตัวลอยสูงขึ้น ก็นิ่งสงบอยู่ พอถึงที่สุด คือ พองมาก ชามาก ตัวขยายกว้างใหญ่จนสุดที่จะรู้สึกตามได้ ลงเหวหรือขึ้นสูงจนความรู้สึกตามไม่ได้ ก็เป็นอันว่าร่างกายไม่มี ก็แยกจากร่างกายเด็ดขาด มานิ่งอยู่ที่เดียวรู้สึกเพียงความสุขสบายอย่างยิ่ง รู้สึกว่าโลกว่าง ๆ ไม่มีอะไรเลย นอกจากจิตดวงเดียวของตนลอยอยู่

    ถ้ารักษาจิตให้นิ่งอยู่ไม่ได้ จิตถอยกลับมาคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้อีกฟุ้งซ่านไปดังนี้ จึงเริ่มภาวนาพุทโธใหม่ จัดลมใหม่ ถ้าจิตดื้อมาก แก้ไขให้นิ่งไม่ได้ก็อาจใช้หลักวิปัสสนามาพิจารณาช่วยแก้ไขจิต จนจิตเริ่มจะหยุดนิ่งไม่ฟุ้งซ่านไป ก็เริ่มทำสมาธิตามวิธีข้างต้นต่อไป

    สมาธิกับวิปัสสนา หรือจะเรียก สมถะกับวิปัสสนา ต่างก็เป็นวิธีการฝึกจิตและดีทั้งคู่ ช่วยส่งเสริมกันได้ ผู้ที่มุ่งหนักไปทางฝึกสมาธิก็อาศัยหลักวิปัสสนามาช่วยบ้างในบางโอกาส ผู้ที่ฝึกแบบวิปัสสนาก็หนักไปทางพิจารณา แต่ก็จำเป็นต้องใช้หลักสมาธิไปเจือปนอยู่ มิฉะนั้นก็ไปไม่รอด แต่จะฝึกวิธีใดแบบใดก็ตามในตอนปลายก็ต้องไปฝึกวิปัสสนาอันแท้จริง เพื่อให้ได้ยอดปัญญาซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ในขั้นนี้จะกล่าวถึงสมาธิขั้นกลาง ขั้นสูง และวิธีแก้ไขจิตที่ดื้อไม่ยอมเป็นสมาธิต่อไป

    ยังมีตอนต่อไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 กรกฎาคม 2014
  19. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เสืออาคม หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี รุ่น๑ ปี๒๕๕๒


    [​IMG]


    เสืออาคม หลวงปู่คำบุ คุตตฺจิตฺโต วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี รุ่น๑ ปี ๒๕๕๒ ชุดกรรมการ หมายเลข ๑๐๖ ตอกโค๊ต ใต้ฐานอุดผงพุทธคุณ และเกศา ประกอบด้วยเสืออาคมเนื้อเงิน เนื้อนวะโลหะ เนื้้อสัตตะโลหะ เนื้อใบพัดเรือ เนื้อแร่ สภาพสวยสมบูรณ์ครับ

    ให้บูชา 7,000 บาท
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC00898.JPG
      DSC00898.JPG
      ขนาดไฟล์:
      270.3 KB
      เปิดดู:
      5,401
    • DSC00897.JPG
      DSC00897.JPG
      ขนาดไฟล์:
      598 KB
      เปิดดู:
      139
    • DSC00899.JPG
      DSC00899.JPG
      ขนาดไฟล์:
      449.4 KB
      เปิดดู:
      163
    • DSC00900.JPG
      DSC00900.JPG
      ขนาดไฟล์:
      406 KB
      เปิดดู:
      180
    • DSC00901.JPG
      DSC00901.JPG
      ขนาดไฟล์:
      821.9 KB
      เปิดดู:
      149
    • images (7)a.jpg
      images (7)a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      270.9 KB
      เปิดดู:
      85
  20. teerapote

    teerapote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    756
    ค่าพลัง:
    +1,097
    เค้าโครงเรื่องการฝึกจิต (สมาธิ – วิปัสสนา)

    โดย อภิชิโต ภิกขุ ( อาจารย์ ชาญณรงค์ ศิริสมบัติ )


    [​IMG]


    เมื่อสมาธิได้ก้าวมาถึงปลายสุดสมาธิขั้นต้นแล้ว เราจะมีจิตดิ่งอยู่ที่จุดตั้งจิตอย่างมั่นคง รู้สึกว่าไม่ได้หายใจเลย มีความสงบ ปิติและสุข เป็นความสุขชนิดพิเศษซึ่งเหนือกว่าความสุขสำราญโดยทั่วไป ถ้าเราสามารถควบคุมจิตให้สงบมีความสุขอยู่ได้นานพอสมควร และชำนาญในการเข้า ก็เป็นการเข้าถึงสมาธิขั้นกลาง ( ในพระบาลี เรียกว่า อุปจารสมาธิ หรือพิจารณาในแง่นิมิต สมาธิขั้นกลางนี้ ก็เรียกว่า อุคคหนิมิต ซึ่งแปลว่า นิมิตติดตา กล่าวคือ นิมิตเกิดขึ้นในขั้นนี้เช่นเห็นภาพต่างๆ หรือเห็นแสงก็ชัดเจนและเป็นภาพนิ่ง ) เนื่องจากจิตแน่วแน่ และความสุขที่ลึกซึ้งเช่นนั้น ไม่ช้าก็ทำให้จิตละทิ้งร่างกายไปเสีย ขณะเดียวกันสติจะขาดลงโดยสิ้นเชิงชั่วเวลาเดี๋ยวเดียว แล้วจิตก็แยกจากร่างไป พร้อมๆ กันนี้เองทวารทั้ง ๖ ก็จะดับสูญลงไป คงเหลือแต่ทวารใจอย่างเดียวกล่าวคือสติ ( ความรู้รอบตัว ) ได้ย้ายออกจากร่างกายไปอยู่ที่ใจอย่างเดียว ผลที่เด่นชัดเป็นดังนี้คือ จิตยึดมั่นอยู่ที่เดียวด้วยความสุขสำราญ รู้อยู่ว่า “ นี่คือตน เป็นจิตที่อยู่โดดเดี่ยวในความว่างและอยู่ในความสุขสุดยอด ฉันหาร่างกายของฉันและของทุกอย่างไม่พบว่าอยู่ที่ไหน

    ในกรณีเช่นนี้ส่วนมากความว่างมักจะเป็นความมืดหรือแสงโอภาส ซึ่งขยายตัวออกกว้างใหญ่จนปิดร่างกายของตนเองและทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล เว้นไว้แต่ใจของตนเท่านั้นลักษณะเช่นนี้อาจเรียกง่ายๆ ว่า “ จิตว่าง ” หรือการเข้าสู่สภาวะความว่าง จัดเป็นระดับสูงสุดในสมาธิขั้นกลาง ( ความว่างในขั้นนี้ไม่ใช่ความว่างที่แท้จริง ) เราจะอยู่ในสมาธิขั้นกลางไม่นานนัก จิตก็จะถอยไปสู่สภาวะปกติ และควบคุมร่างกายตามเคยระลึกได้ ว่าอะไรเกิดขึ้น

    ข้อระมัดระวังที่สำคัญยิ่ง เมื่อได้เข้าถึงสมาธิขั้นกลางแล้ว อย่าหยุดพักเป็นอันขาด ให้พยายามเข้าสู่สมาธิขั้นกลางซ้ำซากจนกว่าจะชำนาญในการเข้าออก ( อาจต้องทำติดต่อถึง ๒ วัน ) ถ้าไม่ทำเช่นนี้จะหลงทางเข้าและทำไม่ได้อีกเป็นเวลานาน อาจจะเป็นเวลาหลายปี นิมิตที่เห็นด้วยตาชั้นในได้นั้นอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิด ก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นและรู้วิธีบังคับได้ ก็จะเกิดเป็นวิชาพิเศษขึ้น ถ้าบังคับผิดหลักก็มีโทษมาก ฉะนั้นทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือปล่อยวางนิมิตเสีย มุ่งสู่สมาธิขั้นสูงต่อไป

    เมื่อเข้าสู่สมาธิขั้นกลางได้ชำนิชำนาญแล้ว ก็ฝึกให้ก้าวหน้าขึ้นอีก จนได้จิตที่แน่วแน่อยู่ในความสุขและความปิติอย่างสูงสุด ได้นานเท่าที่ต้องการ และสามารถถอยจิตมาสู่ขั้นใดก็ได้ หรือจะเข้าไปใหม่อีกก็ทำได้โดยทันที ดังนี้ เรียกว่าได้เข้าถึง สมาธิขั้นสูง ซึ่งเรียกได้ว่า ขั้นฌาน ในพระบาลีบางแห่งก็เรียกว่า อัปปนาสมาธิ หรือพูดในแง่นิมิต สมาธิขั้นสูงนี้ก็เรียกว่า ปฏิภาคนิมิต คือเป็นขั้นที่บังคับนิมิตได้ เช่น บังคับให้เล็กให้ใหญ่ ให้เกิด ให้หาย ไปได้ทันที ซึ่งจะเกิดเป็นวิชาขึ้น ขณะที่จิตแยกออกจากร่างกายไปตั้งสำนึกรู้อยู่แต่ในความมืด หรือแสงสว่างที่กว้างใหญ่กลืนโลก ก็เรียกได้ว่า จิตถึงความว่าง ว่างจากร่างกายแต่ยังติดอยู่ที่รูปหรือแสงสว่าง หรือติดอยู่ที่นิมิตขั้นสูง ( ปฏิภาคนิมิต ) เมื่อจิตสงบนิ่งต่อไปอีก จิตก็ทิ้งรูปทิ้งแสงสว่าง เป็นอันว่าได้ถึงความว่างอันแท้จริงแล้ว แต่ก็ยังไม่ว่างโดยสมบูรณ์ทีเดียว เพราะยังติดความสุขรับรู้ว่ามีความสุขอย่างยิ่งอยู่ ครั้นจิตสูงขึ้นจนละทิ้งความสุขไปได้ ก็มีแต่ความสำนึกรู้เป็นกลางๆ ( อุเบกขา ) อย่างเดียว จึงนับเป็นความว่างที่สมบูรณ์และแท้จริง หรือเรียกว่าเข้าถึงฌานที่ ๔ แต่ก็ยังมีกิเลสขั้นละเอียด ( อนุสัย ๑๐ อย่าง ) เจือปนจิตอยู่อีก

    ฌาน มี ๔ ขั้น ฌานขั้นที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ เมื่อสำเร็จฌานที่ ๔ แล้ว ก็เริ่มทำจิตให้บริสุทธิ์ได้ กล่าวคือ ฝึกตามขั้นวิปัสสนา ถ้าผู้ใดมีบุญบารมีสูงก็สามารถเริ่มฝึกวิปัสสนาได้ เมื่อเริ่มได้ฌานที่ ๑ ผล ( ได้ความว่าง ) สำเร็จขั้นสูงสุดของวิปัสสนาจะทำให้จิตหมดจากกิเลสทั้งปวง ซึ่งเป็นสภาวะการรู้แจ้งโลก สภาวะเช่นนี้เรียกว่า นิพพาน ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นหนทางที่ถูกต้องและมั่นคงที่จะนำไปสู่สวรรค์นิพพาน และในระหว่างทางที่ก้าวไปนั้นก็สามารถใช้อำนาจจิตเพื่อประโยชน์ทั้งทางโลก หรือทางธรรม

    ข้อระมัดระวังที่สำคัญยิ่ง การสะกดจิตมี ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งการสะกดจิตผู้อื่น และชนิดที่สองสะกดจิตตัวเอง ผลบางอย่างของการสะกดจิต คล้ายคลึงกันกับผลของสมาธิขั้นต้น และขั้นกลาง และทำให้คนเข้าใจสับสน ถึงอย่างไรก็ดี ผลของการสะกดจิตและการฝึกสมาธินั้นต่างกันมากทีเดียว แต่ในการฝึกสมาธิ ถ้าบังคับจิตมากไป ก็จะกลายเป็นการสะกดจิตตนเองได้ ตัวอย่าง เช่น การหมดสติและตัวแข็งทื่อไปชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นการสะกดตัวเอง จากความชำนาญทราบว่า ก่อนที่ร่างกายจะแข็งทื่อนั้น จะรู้สึกเย็นวูบโดยกะทันหันจากปลายเท้าขึ้นไปเป็นเครื่องเตือนล่วงหน้า ในกรณีเช่นนี้เราจะต้องถอยกลับโดยลืมตาเล็กน้อยแล้วหลับตา และลงมือทำสมาธิต่อไปอีก หรือหายใจแรงขึ้นหน่อย ความแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างสมาธิที่ถูก กับ การสะกดจิตก็คือ การสะกดจิตเป็นสภาพที่มีสติกึ่งเดียว หรือหมดสติ ดังนั้น ผู้ที่ถูกสะกดจิตจึงขาดสติและนึกไม่ออกว่า ได้บังเกิดอะไรขึ้นต่อร่างกายในระหว่างที่ลืมตัวเพราะการสะกด

    ส่วนสมาธิที่ถูกต้องนั้นต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา ( คือมีสัมมาสติ ตามมรรค ๘ ข้อที่ ๗ ) ทางที่ดีที่สุดที่จะรู้แน่นอนว่าเรากำลังเข้าถึงสมาธิขั้นใดแล้ว ก็คือการตรวจสอบโดยวิธีใช้อำนาจจิตดังที่กล่าวมาแล้ว เมื่อจิตออกไปเสียจากจุดตั้งสมาธิแต่ยังสงบดีอยู่ย่อมจะเกิดภาพทางจิต หรือนิมิตขึ้นกับจิตที่เที่ยวไปนอกลู่นอกทาง สติก็กลายเป็นสติกึ่งสำนึก หรือเป็นลักษณะการเข้าทรง ซึ่งจัดเป็นสมาธิผิดทาง ยังผลให้เกิดการหลงในภูมิตนได้ การทำตามเกณฑ์ตามกฎหมายอันปลอดภัยที่กล่าวมาแล้ว ย่อมจะสำเร็จสมาธิที่ดี และใช้อำนาจจิตได้ด้วย

    เมื่อจิตถอยจากสมาธิขั้นหนึ่งขั้นใด เราจะต้องทำซ้ำจากขั้นตอนที่เหมาะอีก หรืออาจจะเริ่มจากขั้นต้นที่สุดใหม่ ถึงอย่างไรก็ดี เมื่อทำซ้ำหลายหนแล้วก็ไม่ได้ผล เราต้องค้นให้พบว่า อะไรเป็นสาเหตุสำคัญให้ล้มเหลว โดยปกติต้นเหตุที่ทำให้ล้มเหลวนั้น ก็คือ นิวรณ์ ๕ ( เครื่องกีดกั้นความสำเร็จ ๕ ประการ ) ซึ่งมีดังนี้

    ๑. กามฉันทะ ( ความพอใจรักใคร่ในวัตถุกาม )
    ๒. พยาบาท ( ความไม่พึงพอใจ ความยินร้าย )
    ๓. ถีนมิทธะ ( ความง่วงงุนท้อแท้ )
    ๔. อุธัจจะกุกกุจจะ ( ความฟุ้งซ่าน )
    ๕. วิจิกิจฉา ( ความสงสัย โลเล ไม่แน่นอนใจ )

    เมื่อเราทราบแน่ว่านิวรณ์ข้อใด เป็นต้นเหตุ ก็แก้ไขด้วยการพิจารณาในทางต่อต้านไว้ ซึ่งได้เขียนไว้แล้วในพระธรรม ในทางปฏิบัติจริง เราย่อนิวรณ์ ๕ ลงเหลือ ๒ ประการ คือ จิตมีกำลังมาก และจิตกำลังอ่อน ลักษณะของจิตมีกำลังมาก คือ ฟุ้งซ่าน หลงในภูมิตน พยาบาท คิดเกี่ยวกับความรักใคร่หรือเรื่องเก่าหรือความคิดใหม่ๆ ลักษณะของจิตกำลังอ่อน คือ ท้อแท้ หดหู่ หงอยเหงา ลังเล นิวรณ์ข้อที่ ๓ และข้อที่ ๕ เป็นประเภทจิตกำลังอ่อน นิวรณ์อีก ๓ ข้อเป็นประเภทจิตกำลังมีกำลังมาก

    จิตมีกำลังมาก แก้โดยพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นของว่างเปล่า ปราศจากแก่นสารและน่าเบื่อด้วยวิธีนึกแยกแยะออกจนเป็นส่วนเล็กที่สุดประกอบการพิจารณา การพิจารณานี้เป็นเพียงอุบายดึงให้จิตที่มีกำลังมาก ถอยมาเป็นจิตที่ปลอดโปร่งราบเรียบและสงบ เมื่อได้บังเกิดผลที่ต้องการดังนี้แล้ว เราก็เริ่มทำสมาธิต่อไปอีก

    จิตกำลังอ่อน แก้โดยพิจารณาเกี่ยวกับความดีและบุญกุศลของพระพุทธเจ้าหรือของตนเอง หรือเกี่ยวกับผลขั้นสุดท้าย อุบายอันนี้จะช่วยบำรุงน้ำใจที่อ่อนให้เข้มแข็ง กระปรี้กระเปร่า ปลอดโปร่งและราบเรียบ

    ข้อจดจำ เมื่อจิตปลอดโปร่งราบเรียบหรือแจ่มใส เราต้องกลับไปตั้งจิตที่จุดรวมจิตไม่ชักช้า ไม่ต้องพิจารณาอุบายแก้ไขจิตมีกำลังมาก หรือจิตกำลังอ่อนอีกต่อไป มิฉะนั้นจิตจะถูกแก้ไขมากเกินไป ตัวอย่างเช่น จากจิตที่มีกำลังมากเป็นจิตที่ปลอดโปร่งราบเรียบ แล้วก็กลายเป็นจิตกำลังอ่อน การใช้อุบายที่ผิดจะเกิดความล้มเหลวและอันตรายขึ้น ตัวอย่างเช่น จิตมีกำลังอ่อน แต่กลับไปใช้อุบายแก้จิตมีกำลังมากมาแก้ ย่อมทำให้จิตมีกำลังอ่อนยิ่งขึ้น และหมดกำลังใจที่จะทำอะไร ในที่สุด เบื่อชีวิต หรืออาจฆ่าตัวตาย

    ตอนต่อไป ตอบปัญหาน่ารู้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 กรกฎาคม 2014
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...