หลังจากดับขันต์ไปแล้วพุทธเจ้ายังมีอยู่จริงหรือที่แดนนิพพาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ตาแก่, 12 พฤศจิกายน 2008.

  1. to2504

    to2504 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,449
    ค่าพลัง:
    +1,230
    นี่เค้ากลับบ้านกันหมดแล้ว เบื่อแก พูดอยู่ได้ คอแห้งปะ
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้ายังเข้าใจคำว่า รู้ คือ รู้เรื่อง ก็จะงงว่าเขาพูดถึงอะไรกัน
     
  3. Peace in mind

    Peace in mind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +370
    ขอเดาด้วยคน

    เป็นไปได้มั๊ยว่า จิตในสภาวะนิพพาน นั้นก็เหมือนสภาวะสุญญากาศ เหมือนความว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีรูป ไม่มีแม้เศษอณูของมวลสารหรือพลังงานอยู่เลย แต่ในสภาวะนิพพานนั้นอาจตั้งอยู่ในมิติที่อยู่แยกออกไปจากมิติที่เป็นที่ตั้งของภพภูมิอื่น และจิตของผู้อยู่ในสภาวะนิพพาน ก็อาจมีอณูที่เล็กมาก ๆ เคลื่อนที่ไปหรือมีที่อยู่ในทุก ๆ แห่งของมิตินั้น หรือแม้แต่ในทุก ๆ แห่งของจักรวาลก็ได้ เพียงแต่ไม่สามารถมองเห็น หรือจับต้องได้เป็นรูปร่าง ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องที่ว่าผู้ไปถึงนิพพานจะไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก เพราะ สิ่งมัวหมอง เครื่องผูกมัดต่าง ๆ ได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว เจ้าของจิตนั้นย่อมสลายได้แม้แต่รูปกายซึ่งจิตกำหนด หรือแม้แต่ดวงจิตก็ไม่จำเป็นต้องมีรูปให้ปรากฎอีกด้วย เป็นไปได้มั๊ยอ่ะคะ เดา เอา
     
  4. baankvee

    baankvee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +33
    ผมพอทราบมาอย่างนี้ว่า...

    หลวงพ่อวัดปากน้ำ ยืนยันชัดเจนว่า นิพพานมีจริง นิพพานอย่างหนึ่ง อายตนนิพพานอย่างหนึ่ง อายตนนิพพานคือ แหล่งที่อยู่แห่งพระนิพพาน

    นิพพานอยู่ที่ใด ?
    หลวงพ่อวัดปากน้ำ บอกไว้ชัดเช่นกันว่า สมมติอย่างนี้ นำเชือกเส้นหนึ่ง เกี่ยวไว้ที่ขอบภพ 3 ด้านบนของเนวสัญญานาสัญญายตนะ ปล่อยเชือกห้อยลงมาที่ขอบภพล่างใต้อเวจี แล้วเกี่ยวขึ้นไปที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แล้วเกี่ยวลงไปที่ขอบภพด้านล่างใต้อเวจีอีกครั้ง คราวนี้จะไปนิพพาน ให้ดึงเชือกที่เกี่ยวไว้ทั้งภพเนวสัญญานาสัญญายตนะ และ ใต้ภพอเวจีทั้งหมดให้ตึ งเชือกตึงสูงขึ้นไปจาก เนวสัญญานาสัญญายตนะ สูงสุดของเชือกนั้น คือ อายตนนิพพาน ท่านว่า ใหญ่ขนาด 3 เท่าของภพ 3

    """""""""

    โปรดใช้วิจารณญาณ

    ไว้รอหาเสียงหลวงพ่อัดปากน้ำมาอัพลงไว้ให้ ยังหาไม่เจอ ไม่รู้เก้บไว้ไหน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2008
  5. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    เราควรจะสะกิดเจ้าให้รู้ตัวมากกว่าว่าแท้ที่จริงสรรพจิตมิต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไปชั่วนิรันดร
    ปฐมเหตุแห่งการสร้างสรรพจิตคือความต้องการอยากมีเพื่อนคลายความเงียบเหงา

    ดั้งเดิมสรรพจิตสรรพสัตว์ล้วนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนกันทั้งสิ้น
    มิมุ่งหวังจักให้เบียดเบียนกัน เพียงแต่สรรพจิตก่อกรรมทำเข็ญเบียดเบียนผู้อื่นกงกรรมกงเวียนจึงเริ่มขึ้น กฎแห่งกรรมจึงเกิดขึ้นตามมา เพื่อสร้างความถูกต้อง ความเที่ยงธรรม ความยุติธรรม ความเป็นธรรม ความชอบธรรม ตามความจริงคือพฤติกรรมของสรรพสัตว์ทั้งปวง ที่ล้วนปรารถนาจักมีชีวิตอยู่แต่มิปรารถนาจักถูกทำร้าย ถูกรังแก ถูกกดขี่ข่มเหง

    ศาสตร์ของการอยู่รวมกันเป็นสังคมจะต้องมองภาพรวมทั้งระบบ หากสรรพสัตว์กินพืชเพียงเท่านั้น พืชพันธ์ธัญญาหารจักมิอาจเจริญเติบโตทันความต้องการอาหารของสรรพสัตว์ หากสรรพสัตว์ล้วนแล้วแต่กินสัตว์เป็นอาหาร โดยมิมีสรรพสัตว์กินพืช เพียงเวลาไม่นานสรรพสัตว์จะกัดกินกันกระทั่งหมดสิ้น

    หากสรรพสัตว์เกิดมาแล้วมิต้องมีการกิน จะสามารถอยู่รวมกันอย่างศานติสุขได้ แต่นั่นกลับเป็นไปมิได้ ความจริงการกินเป็นความต้องการพื้นฐานของสรรพสัตว์ทั้งปวง มิกินพืชก็กินสัตว์

    ยุคแรกของการสร้างสรรพจิตคือยุคของพระอิศวร มิมีพืช มิมีการกินกัน สรรพสัตว์ที่ดีงามล้วนเกิดเองเรียกว่า [รปต] อ่านว่า ระปะตะ เป็นการก่อตัวขึ้นเป็นกายสังขาร ตามจินตนาการของสรรพจิตสรรพสัตว์ทั้งปวง

    เพียงแต่เมื่อเนิ่นนานไปสรรพจิตที่ดีงามเริ่มเรียนรู้บำเพ็ญเพียรกระทั่งสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ การแสวงหาความสุขสามารถกระทำได้มากขึ้น สามารถจะเดินทางท่องเที่ยวไปได้ไกลยิ่งขึ้น เป็นกิเลสของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาภายหลัง ที่มิอาจรอคอยกระทั่งสามารถบำเพ็ญเพียรเพื่อเหาะเหิรเดินอากาศได้
    เป็นความอิจฉาริษยา ที่เห็นผู้อื่นกระทำได้แต่ตนเองซึ่งเกิดขึ้นมาภายหลังมิอาจกระทำได้ โดยหารู้ไม่ว่าล้วนเกิดจากการบำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น

    ใช้ทางลัดเพื่อจักสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้นั่นคือการกินสรรพสัตว์ที่ดีงามที่สามารถบำเพ็ญเพียรกระทั่งสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้เป็นสรรพสัตว์ที่ดีงาม ซึ่งเป็นการละอัตตา เพื่อลดมวลสารกายให้เบาบางกระทั่งสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้ ด้วยการบำเพ็ญเพียรด้วยพลังจิต

    การลดมวลสารกายของยักษ์ใช้วิธีกัดกินสรรพสัตว์ที่ดีงามที่เกิดขึ้นมาก่อนกระทั่งเหาะเหิรเดินอากาศได้ แม้ขนาดมวลสารกายของยักษ์จักใหญ่ขึ้น แต่นำหนักมวลสารจะเบายักจึงสามารถเหาะเหิรเดินอากาศได้โดยมิต้องบำเพ็ญเพียร

    เหตุแห่งการกินของยุคพระอิศวรคือเพื่อสามารถเหาะเหิรเดินอากาศเพียงเท่านั้น การเกิดขึ้นมาของปักษาจึงยิ่งชั่วร้ายกว่ายักษ์ที่เกิดขึ้นมาก่อนปักษาเพราะปักษาก่อตัวขึ้นมาด้วยความเจ้าเล่ห์ โดยนำความชั่วของยักษ์มารวมกับความเจ้าเล่ห์ของจิตปักษา ด้วยการกัดกินสรรพสัตว์ที่ดีงามเฉกเช่นยักษ์ พร้อมทั้งมีปีกที่สามารถโบยบินได้เฉกเช่นการเหาะเหิรเดินอากาศ อาวุธที่จะทำร้ายผู้อื่นกอปรด้วยจงอยปากที่งองุ้มแหลมคม กรงเล็บที่แหลมคมทั้งมือเท้า เป็นรูปลักษณ์ที่ชั่วร้ายเอาเปรียบสรรพสัตว์อื่นทั้งสิ้น

    การอยู่รวมกันเป็นสังคมอย่างเพื่อนจึงถูกทำลายลงจากสรรพจิตที่ชั่วร้ายคือยักษ์ [ยส] และปักษา [ปกส] กระทั่งยุคของพระอิศวรล่มสลายไป ตั้งอยู่ได้เพียง 1 อสงไขย คือ หนึ่งล้านโกฏิ หรือ หนึ่งล้านล้านกัป หรือ หนึ่งล้านล้านล้านปี เพียงเท่านั้น

    ทั้งนี้ที่เราเล่าให้เจ้าฟังเพียงให้เจ้าได้คิดว่า แท้ที่จริงเจ้าน่าจักเข้าถึงความอยากจะมีเพื่อนคลายความเงียบเหงา หากเจ้าสามารถดับจิตเจ้าได้จริง เจ้าลองหยุดเข้าเว็บพลังจิตซักหนึ่งเดือน เลิกพูดคุยกับผู้อื่นซักหนึ่งเดือน เจ้าจักรู้ว่าแท้ที่จริงเจ้าสามารถอยู่อย่างผู้หลุดพ้นได้จริงหรือไม่ สามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยว เฉกเช่นคนไบ้ที่มิยอมพูดจากับใครเลยได้นานเท่าใด หากเจ้าสามารถอยู่ได้นานหนึ่งเดือน หรือมากกว่านั้นนั่นคือความสามารถที่จะอยู่อย่างผู้หลุดพ้นของเจ้า แต่กาลข้างหน้าคือกาลมิสิ้นสุด หากเจ้ามิอาจสลายจิตของตนเองได้ เจ้ายังจักสามารถอยู่อย่างผู้หลุดพ้นได้ตราบชั่วนิรันดรจริงหรือไม่

    ให้พิจารณาด้วยปัญญา เรามิได้ทำให้เจ้าหลง เพียงสอนให้เจ้าได้คิดถึงศาสตร์ทั้งปวงที่เรานำมาสอนมวลหมู่สรรพสัตว์ทั้งปวง มิได้หมายถึงคนบนโลกมนุษย์เพียงเท่านั้น เทพเซียนพระโพธิสัตว์พระผู้สร้าง สรรพจิตทั้งปวง ล้วนรับรู้พร้อมกัน แต่สามารถคิดต่างกันได้ เรามิบังคับขืนใจ แต่จะให้บทเรียนชีวิต เห็นคุณค่าของการอยู่รวมกันเป็นสังคม แบบเต๋า มิใช่ว่าจักมิอาจอยู่รวมกันอย่างศานติสุขได้

    เราบริหารช่องว่างระหว่างวัย ช่องว่างระหว่างชนชั้น ช่องว่างระหว่างขา [ช่องว่างระหว่างเพศ] คือเพศหญิง เพศชาย เพศที่สาม เพื่อสามารถอยู่รวมกันเป็นสังคมอย่างศานติสุข
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  6. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *******
    หากยังมิหลุดพ้นจักมิอาจล่วงพ้นได้ [สปรย] อ่านว่า สะปะระยะ หรือ สัมปรายภพ
    เพราะตราบใดที่ยังมิอาจรู้จริงว่านิพพานคือคนดีที่สั่งสมความดี [นิปน] อ่านว่า นิปะนะ
    คนดีซึ่งสั่งสมความดีสามารถจักหลุดพ้นได้ มิติดค้างหนี้กรรมกับผู้ใด [ปร] อ่านว่า ปะระ

    การหลุดพ้นหมายถึง หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ
    มิใช่การสลายจิต มิใช่การดับจิต

    หากมิสามารถแยกแยะว่าความหลุดพ้นคืออย่างไร จักมิอาจล่วงพ้น หรือ เข้าสู่สัมปรายภพ หรือพุทธภูมิหรือสวรรค์ชั้นสิขาวดี [สิขวติ นิวน สวติ] อ่านว่า สิขะวะติ นิวะนะ สะวะติ ซึ่งเป็นแดนสำหรับผู้เคยหลุดพ้น ได้แก่พระพุทธเจ้า ทั้งปวง พระโพธิสัตว์ทั้งปวง ตลอดจนพระอรหันต์ พระอนาคามี เทพเซียนจากลัทธิเต๋า ซึ่งเคยหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏแล้วทั้งสิ้น

    มิได้หมายความว่าความหลุดพ้น คือการดับจิต สลายจิตของตนเอง
    หากผู้เคยปฏิบัติสมาธิแล้วเคยเห็นดวงกลมๆ สีขาวสุกสกาว แล้วคิดว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ตนเองปรารถนา คือ แดนนิพพาน
    เราจักกล่าวว่านั่นคือประตูมิติเพื่อก้าวพ้นไปสู่อีกฝั่งหนึ่งนั่นคือแดนสนธยา
    เป็นความว่างเปล่าสุกสกาวทอดยาวออกไปมิสิ้นสุดมิมีสิ่งใดเลย
    การจักหลุดพ้น จักต้องสามารถข้ามพ้นสู่ความว่างเปล่านั้น ในขณะที่มีสติอยู่ถอดจิตเข้าใปในดวงกลมๆสีขาวสุกสกาวนั้น จักรู้ว่าความจริงดวงกลมๆนั้น
    เป็นประตูมิติที่สามารถข้ามพ้นเข้าไปได้
    มิใช่ความว่างเปล่าเวลากลางวันที่ท้องฟ้าโปร่งเพราะยังมีสีฟ้าของท้องฟ้า
    สิ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นความบาดลึกมิใช่ความร้อน มิใช่ความหนาวเหน็บ
    เป็นเพราะการข้ามพ้นดวงกลมๆนั้น จะต้องทำในขณะที่เรามีสติสมบูรณ์
    ความบาดลึกที่สามารถสัมผัสได้จึงเกิดจากความน่าสพรึงกลัวที่มีเราเพียงคนเดียวอยู่ท่ามกลางสีขาวสุกสกาวที่ทอดยาวออกไปมิสิ้นสุด

    เป็นสถานที่มีอยู่จริงนั่นคือแดนสนธยา
    หากคุณก้าวพ้นเข้าสู่แดนสนธยานี้ได้ จึงจักสามารถเข้าสู่วิถีพุทธอันแท้จริงได้ อย่าติดยึดกับดวงกลมๆที่เห็นในขณะเข้าสมาธิ แต่ให้กล้าที่จักถอดจิตเข้าสู่ดวงกลมๆสีขาวสุกสกาวที่เห็นในขณะที่ยังอยู่ในสมาธิ ขณะที่ยังมีสติอยู่
    เพราะหากขาดสติจักมิอาจข้ามพ้นไปอีกด้านหนึ่งคือแดนสนธยาสีขาวสุขสกาวที่แท้จริงได้

    นั่นคือสิ่งที่ยังมิมีใครสามารถข้ามพ้นไปสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวที่แท้จริงได้ มิใช่เรามิเคยหลุดพ้น เราหลุดพ้นมาแล้วจึงกลับมาสอนผู้ซึ่งมิเคยข้ามพ้นสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวได้รับรู้ว่า

    ตราบใดคุณมิอาจดับจิตของตนเองได้ จักมิอาจอยู่ในแดนสนธยานี้ได้
    ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวอันน่าสพรึงกลัว เราเกิดมาจากสิ่งนี้
    หากยังมิอาจข้ามพ้นสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวนี้
    ยากที่คุณจักรู้ว่าเหตุใดเราจึงลงมาสอนศาสตร์ของการอยู่รวมกันอย่างศานติสุข
    บรรดาเทพเซียนพระโพธิสัตว์พระผู้สร้างทั้งปวงล้วนเคยหลุดพ้นมาแล้วทั้งสิ้นจึงสามารถจักเข้าถึงแก่นแท้ของชีวิต แก่นแท้ของจิต แก่นแท้ของการอยู่รวมกันเป็นสังคมอย่างศานติสุข
    มิอาจแสดงได้มากกว่านี้ เพราะตราบใดคุณมิอาจข้ามพ้นสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวนี้ได้ คุณจักยังมีความปรารถนาที่จักหลุดพ้นเข้าสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวนี้อยู่ร่ำไป
    สามารถฝึกฝนตนเองกระทั่งข้ามพ้นประตูมิตินี้ได้ แต่ต้องข้ามประตูมิติในขณะที่อยู่ในสมาธิในขณะที่มีสติอยู่ จงใจถอดจิตเพื่อข้ามพ้นประตูมิติสู่อีกด้านหนึ่งของดวงกลมๆสีขาวสุกสกาวที่มองเห็น
    เราจักกลับมาแสดงโดยละเอียดในภายหลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2008
  7. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    หาเจ้าคิดว่าหนทางที่เจ้าเลือกคือการหลุดให้เจ้าตั้งใจฝึกฝนตามแนวทางที่เจ้าเลือก
    หากเจ้าสามารถหลุดพ้นได้จริงเจ้าจักสามารถล่วงพ้นได้ เข้าสู่แดนสัมปรายภพ
    หากเจ้ามิอาจฝึกฝนเพื่อการหลุดพ้นได้ เจ้าจักมิอาจล่วงพ้นไปจากสังสารวัฏตราบชั่วนิรันดรได้
    สนทนาธรรมกับคนที่ยังมิเคยหลุดพ้นยากที่จักเข้าใจ จนกว่าเจ้าจักรู้เอง
    เจ้าคิดว่าแดนสนธยาที่มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวนั้นคืออรูปพรหม
    เจ้ามิอาจล่วงพ้นได้ตราบชั่วนิรันดร เพราะนั่นคือแดนที่กลับคืนสู่ความว่างเปล่าที่เจ้าปรารถนา
    อรุปพรหมที่เจ้าเข้าใจ คือสวรรค์ชั้นอาภัสสรพรหม เป็นสถานที่พักจิตสรรพสัตว์เพื่อรอเกิดบนโลกมนุษย์เพียงเท่านั้น
    หากปรารถนาจักกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เจ้าจักต้องก้าวพ้นเข้าสู่ประตูมิติที่สามารถข้ามพ้นได้เฉพาะผู้สามารถฝึกฝนตนเองเฉกเช่นพระอรหันต์ทั้งหลาย เช่นหลวงพ่อสด แต่มิมีใครกล้าที่จะข้ามพ้นประตูมิติที่เปิดให้สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิทุกคน

    บางคนอาจเรียกดวงฌาน บางคนอาจเรียกดวงจิต บางคนเรียกดวงธรรม บางคนเรียกธรรมกาย แต่เราเรียกประตูมิติ เพื่อข้ามพ้นสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาว คือพุทธปฐม เพื่อละความเห็นแก่ตัวละอัตตา ซึ่งสามารถข้ามล่วงไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ เป็นภายนอกจิตจักรวาล

    หากอยากหลุดพ้นจริงๆ เจ้าต้องสามารถฝึกฝนตนเองเพื่อกลับคืนสู่ความว่างเปล่า

    แต่การจักข้ามล่วงประตูมิติสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวนั้นได้ จักต้องข้ามพ้นในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน มิใช่การหลับฝัน เป็นการข้ามพ้นด้วยความจงใจ แล้วเจ้าจักรู้ว่าความว่างเปล่าที่แท้จริงคือสิ่งที่เจ้าปรารถนาหรือไม่
    ดวงกลมๆสีขาวสุกสกาวนั้นสามารถเห็นได้แม้กระทั่งขณะลืมตา แต่มิใช่เห็นด้วยตาเปล่า เป็นการเห็นด้วยตาที่สามกลางหน้าผากระหว่างคิ้ว ครั้งแรกจะมีลักษณะกลมๆภายหลังจากนั้นจักเริ่มแหว่งไปแล้วเปลี่ยนเป็นรูปใดๆแต่ยังคงมีสีขาวสุกสกาวอยู่ภายใน สิ่งที่หลวงพ่อสดมองเห็นได้คือสิ่งนี้เพียงแต่มิได้ข้ามพ้นเข้าสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวคือพุทธปฐม นั้น ลูกศิษย์รุ่นหลังเพียงอาศัยคำบอกเล่าจากคนที่สัมผัสได้เพียงเท่านั้น คนที่ได้รับดวงจิต ดวงธรรมกาย หรือประตูมิติเพื่อนำทางไปสู่ความไร้อัตตา เพื่อกลับคืนสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาว ที่แท้จริง มีเพียงเจ้านิกายเท่านั้นที่สามารถเห็นดวงธรรมกายอันแท้จริง เป็นสิ่งที่พระอรหันต์ทุกรูปมองเห็นได้แต่มิแสดงออกมาเพียงเท่านั้น มิใช่นิมิต เป็นดวงธรรมกายเป็นประตูมิติเพื่อการหลุดพ้นจากอัตตาคือความเห็นแก่ตัวโดยแท้จริง

    รูปพรหมหมายถึงสรรพสัตว์ที่เกิดมาบนโลกมนุษย์
    อรุปพรหมหมายถึงจิตสรรพสัตว์ที่รอเกิดบนโลกมนุษย์เพียงเท่านั้น
    เป็นภพภูมิที่ต่ำที่สุด ในบรรดาภพภูมิทั้งปวง
    การถอดจิตเพื่อข้ามพ้น ดวงกลมๆ แสงสีขาวสุกสกาว ซึ่งเป็นประตูมิติกลับคืนสู่ความว่างเปล่า คือการบรรลุขั้นสูงสุดของการฝึกฝนจิตเพื่อการหลุดพ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  8. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    การที่เรามิออกมาแสดงธรรมเพราะจะทำให้คนที่มิรู้ว่าเราเป็นพุทธปฐมต้องตกนรกตราบชั่วนิรันดร

    เราหลีกเลี่ยงจนกระทั่งรื้อฟื้นความทรงจำทั้งปวงสมบูรณ์แล้ว เราจึงออกมาแสดงธรรม เพื่อนำพามวลหมู่สรรพจิต สรรพสัตว์ข้ามพ้นสายธารแห่งความทุกข์

    สำหรับผู้หลุดพ้นเฉกเช่นนักว่ายน้ำที่เข้มแข็งสามารถจักว่ายน้ำเพื่อข้ามสายธารแห่งความทุกข์เพื่อหลุดพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้

    หากยังมิอาจฝึกฝนตนเองกระทั่งสามารถว่ายน้ำข้ามสายธารแห่งความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏเฉกเช่นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพเซียนจากลัทธิเต๋า ได้

    จักต้องรอจนกระทั่งนักว่ายน้ำที่สามารถว่ายข้ามสายธารแห่งความทุกข์เหล่านั้นล่วงพ้นความสุขจากการหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏแบบโลกุตระ คือ การอยู่อย่างสันโดษ โดดเดี่ยว กระทั่งรู้จริงถึงการมีอยู่จริงของจิตที่มิอาจจักดับสูญได้ มิอาจสลายจิตได้ เพียงแต่สามารถจักควบคุมได้เท่านั้น

    หากเมื่อใดล่วงพ้นจากการอยู่อย่างโลกุตระ เข้าสู่สัมปรายภพ ซึ่งเป็นการล่วงพ้นจากการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย เป็นการอยู่ร่วมกันเป็นสังคม
    แบบกึ่งโลกียะ นั่นคือสวรรค์ชั้นสิขาวดี หรือพุทธภูมิ [สิขวติ นิวน สวติ]
    ข้ามพ้นอัตตา คือความเห็นแก่ตัวเข้าสู่แดนสนธยาที่มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาว เพื่อกลับคืนสู่ความเป็นพุทธปฐม

    นั่นจึงจักสามารถข้ามพ้นความเห็นแก่ตัวของบรรดาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ เทพเซียนจากลัทธิเต๋าทั้งปวงได้

    คุณคิดว่า คนที่ว่ายน้ำข้ามสายธารแห่งความทุกข์ไปได้กับคนที่กลับมาต่อแพเพื่อนำพาคนที่ว่ายน้ำไม่เก่งข้ามพ้นสายธารแห่งความทุกข์ไปได้ทีละหลายๆคน คนแบบไหนที่มีคุณธรรม

    ตราบใดมิอาจข้ามพ้นอัตตา คือความเห็นแก่ตัว เพื่อกลับคืนสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาว คือพุทธปฐม ยังคงหลงละเริงอยู่กับความสุขจากความหลุดพ้น จากการล่วงพ้นสู่พุทธภูมิ หรือสัมปรายภพ โดยมิแยแสส่ำสัตว์ที่ว่ายน้ำมิแข็ง ว่ายน้ำไม่เป็น

    เพราะแม้แต่พื้นฐานการว่ายน้ำข้ามสายธารแห่งความทุกข์ คือการบวช ครองเพศบรรพชิต นักพรต เพียงเท่านั้น ที่จักสามารถหลุดพ้นได้ เพื่อฝึกฝนตนเองเพื่ออยู่อย่างโดดเดี่ยวอย่างผู้หลุดพ้น ละกิเลสตัณหา

    กลับเข้าใจว่าผู้ครองเพศฆราวาสสามารถจักหลุดพ้นได้ เฉกเช่นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพเซียนจากลัทธิเต๋าแล้ว

    ย่อมจักมิอาจจักข้ามพ้นสายธารแห่งความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏไปได้

    ผู้ซึ่งว่ายน้ำข้ามฝั่งเอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ซึ่งเห็นแก่ตัว เพียงแต่เป็นผู้มีความสามารถเพียงเท่านั้น เมื่อใดผู้ซึ่งว่ายน้ำเอาตัวรอดข้ามสายธารแห่งความทุกข์ล่วงพ้นสู่สัมปรายภพ มีชีวิตแบบกึ่งโลกิยะ ข้ามพ้นความเห็นแก่ตัวคืออัตตา กลับคืนสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกใสคือพุทธปฐม นั่นแหละจึงจักถึงกาลกลับมาของผู้หลุดพ้นทั้งปวง ร่วมกันต่อแพเพื่อนำพาสรรพสัตว์ สรรพจิตทั้งปวง ข้ามพ้นสายธารแห่งความทุกข์ด้วยเป็นผู้รู้จริง ที่พร้อมเสียสละความสุขที่ตนเองได้รับ กลับมานำทางสรรพสัตว์ทั้งปวงได้รู้จริง เฉกเช่นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ เทพเซียนจากลัทธิเต๋าทั้งปวง

    ซึ่งข้ามพ้นความเป็นอัตตาคือความเห็นแก่ตัว หากมิอยู่รวมกันเป็นสังคมแบบกึ่งโลกิยะ จักมิอาจข้ามพ้นความเห็นแก่ตัว คืออัตตา กลับคืนสู่ความไร้อัตตา คือความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวคือพุทธปฐมได้

    การกลับมาของพระพุทธเจ้าคือการต่อแพเพื่อนำพาผู้ซึ่งมิสามารถฝึกฝนตนเองเพื่อพิสูจน์ความจริง ทั้งปวงด้วยตนเองได้ เป็นการทำหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ เรานำทางพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ เทพเซียนจากลัทธิเต๋าทั้งปวงให้ละความเห็นแก่ตัว ละอัตตา ละทิ้งความสุขส่วนตน เพื่อกลับมาทำหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ทุกๆคน
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขออนุญาตินะพี่ siriyamarata

    บางที่คุณอาจจะยังไม่ทราบ กลุ่ม TVJ แก๊งซแมวเหมียว kajhonsak tro และอีก
    หลายๆชื่อ ที่มี อิอิ แงว แงว โย่ว โย่ว ก๊าบ ก๊าบ เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มนั้น เขาแลก
    ID กับ Password กัน เพราะหลบเลี่ยงการสร้าง ID ใหม่ หลังจากโดน Ban ไป
    หลายรอบ

    ดังนั้น เวลาคุยกับคนกลุ่มนี้ ดูให้ดีว่า เขาไม่ได้ออกอุบายทำเป็นมาคุยหลายคน

    จริงๆ อาจจะเป็นคนเดียว คนเดิม

    ตรงนี้จะทำให้พี่ siriyamarata เป็นตัวตลกในสายตาของเขา ที่เขาหลอกพี่ให้
    แสดงธรรมเหมือนกับว่าคุยกับหลายคนได้สำเร็จ

    ซึ่งถ้าเป็นคนๆ เดียว มันก็เสียเวลาเปล่าๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นกับคุณจะเห็นควรครับ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เห็นไหมพี่ siriyamarata

    พอเอาอีก ID มาถาม พี่ก็เข้าใจว่า มีคนอยากถาม เป็นคนใหม่ยังไม่รู้
    พี่ก็เมตตาปราณีตอบเขาไป

    แต่สังเกตุเถอะพี่ว่า คนตอบนั้น จะผลิกเป็นอีกคน

    ทั้งนี้ก็เพื่อให้ คนที่ตอบได้ดีนั้น ตกอยู่ที่ ID เป้าหมายคนเดียว

    ก็เท่ากับพี่หลงกลให้เขาหลอกเอาชื่อเสียงใส่ ID หนึ่งๆ
    โดยเอา ID อื่นมาแสร้งถาม แล้วอีก ID หนึ่งก็ตัดบท
    มาสับ มาปรับ เล่นตามใจเขา ทำให้เขาดูมีความรู้มากกว่าพี่
     
  11. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    **********
    เราบอกเจ้าแล้วว่าเกิดมากจากความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวที่ทอดยาวออกไปมิสิ้นสุด
     
  12. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    ความจริงเราเพียงต้องการเครื่องมือแสดงธรรมเพียงเท่านั้น
    เพราะผู้มีดวงตาเห็นธรรมมักมิแสดงออก มิถามเพราะเกรงว่าจักเป็นการปรามาสผู้ทรงคุณธรรม

    จึงเป็นจุดอ่อนของผู้ทรงคุณธรรม เราแสดงธรรมตามความเห็นของหมู่มารเป็นสำคัญแต่ใช่ว่าเราจักมิรู้ว่าหลายจิตที่เข้ามาร่วมสนทนาธรรมกับเราเป็นใคร ส่วนหนึ่งเกิดจากจิตมารที่อยู่กับบุคคลเหล่านั้นและสื่อสารกับจิตมารซึ่งเราจองจำไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสอนเทพเซียนพระโพธิสัตว์ทั้งปวงควบคู่ไปกับมวลหมู่มนุษย์ชาติ

    ถ้อยคำที่เราสนทนาธรรมเราจักรวบรวมไว้เพื่อแสดงธรรมบนเว็บบล็อกแสดงธรรมอีกต่อหนึ่ง บางส่วนเรารวบรวมไว้ในกระทู้ธรรม << ภาพวาดจากจิตสัมผัส [พิเศษ] >> เพื่อให้ผู้สนใจ ฝักใฝ่ และขวนขวาย ได้มีโอกาสเรียนรู้เพียงเท่านั้น ให้รักษาคุณธรรมนั้นไว้อย่าให้เสื่อมลง ทุกๆคนที่สนใจ ฝักใฝ่ และขวนขวาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  13. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    หากเจ้ามั่นใจว่าจักดับจิตตนเองจริงๆเราสามารถควบคุมเจ้ามิให้คิดมิให้จดจำสรรพสิ่งได้นานตราบเท่าที่เจ้าต้องการรวมทั้งสามารถดับจิตเจ้าได้ตราบชั่วนิรันดร

    สาเหตุของการสร้างจิตสรรพสัตว์เพื่อเป็นเพื่อนกันมิได้บังคับขืนใจเฉกเช่นหุ่นยนต์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมทั้งหมด แต่ให้อิสระในการคิดมิเป็นเฉกเช่นหุ่นยนต์ที่สามารถบังคับให้กระทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ

    เพราะหากกระทำเฉกเช่นหุ่นยนต์จักมิต่างจากการเล่นคนเดียว เราจึงสร้างสรรพจิตที่มีความเป็นอิสระในการคิดในการแสดงพฤติกรรมอย่างอิสระเพื่อเรียนรู้ด้วยตนเองก่อน จากนั้นจึงลงมาสอนให้รู้จริงถึงเหตุแห่งการเกิดทั้งปวงของสรรพจิต สรรพสัตว์ เหตุใดจึงต้องมีกฎแห่งกรรม ความดีคืออย่างไร ความชั่วคืออย่างไร

    จักรวาล มาจากอักขระบาลีที่ใช้บัญญัติกฎแห่งกรรม คือ [จกรวล] อ่านว่า จะกะระวะละ แปลว่า การหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันได้รับความสุขจากตัวชี้วัดคือกิเลสตัณหา ตัวชี้วัดคือ [ว] อ่านว่า วะ

    หากคิดว่าบังเอิญมีลักษณะคล้ายเบ็ด จักรู้ว่าเหตุที่เราใช้อักษรไทยเป็นเครื่องมือในการสอนกฎแห่งกรรม ล้วนเกิดจากความจงใจให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะอักษรไทยมีความสวยงามสามารถจักผันวรรณยุกต์ได้ถึง 5 เสียง ซึ่งมีความโดดเด่นกว่าอักษรใดๆบนโลกมนุษย์

    หากเข้าใจกฎแห่งกรรมจักรู้ว่าสรรพสัตว์ทั้งปวงเป็นเฉกเช่นปลาที่แหวกว่ายอยู่กลางแม่น้ำ เบ็ดที่เรานำมาตกเกี่ยวเหยื่อคือกิเลสตัณหา ปลาที่กินเหยื่อคือปลาเล็กปลาน้อยที่เข้ามาตอดกินเหยื่อแต่มิกินเบ็ด เป็นปลาที่ฉลาดมิโลภมาก ปลาอีกตัวหนึ่งมิเข้ามายื้อแย่งกินเหยื่อเพราะเบื่อหน่ายมองดูอยู่ภายนอก ปลาตัวนี้คือปลาที่จักหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏ ปลาตัวที่สามคือปลาโลภมากเป็นปลาตัวใหญ่ที่ชอบใช้กำลังคิดฮุบเหยื่อไว้แต่เพียงผู้เดียว ปลาตัวนี้คือปลาที่จักติดเบ็ด เป็นปลาตัวที่เราจักนำมาต้มยำแกล้มสุรา แกล้มเบียร์

    เจ้าเป็นปลาที่กำลังจักติดเบ็ดที่เรานำมาล่อเหยื่อเพื่อใช้เป็นอุทาหรณ์สอนมวลหมู่มนุษย์ชาติ หากกลับใจยังคงทัน เพราะเราชอบกินต้มยำปลาโลภที่ชอบลองของ ปลาที่คิดว่าตนเองฉลาดกว่าปลาเล็กปลาน้อยที่ชอบตอดกินเหยื่อ คือกิเลสตัณหาอย่างสนุกสนาน ชอบที่จักเวียนว่ายตายเกิดอย่างเป็นสุข

    เราสอนปลาเล็กปลาน้อยที่ชอบกินเหยื่อแต่มิติดเบ็ดทั้งปวง
    เราสอนปลาเบื่อหน่ายการยื้อแย่งทั้งปวง
    เราสอนปลาโลภมากอวดฉลาดทั้งปวง
     
  14. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    พูดพล่ามแบบนี้ เรียกว่า ฟุ้งซ่านได้ไหมครับ ท่านสีแอบ
     
  15. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    เวลารู้ว่าเป็นเครื่องมือของเราเพื่อทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับเจ้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง แต๋วแตกเลยรึ ควบคุมตนเองมิได้เลยรึ

    ไหนบอกว่าควบคุมตนเองได้ ดับจิตตนเองได้ เรานิ่งกว่าเจ้ามากนัก

    เรานำถ้อยคำที่สนทนาธรรมกับเจ้าเพื่อสอนคนที่เราอยากสอนเพียงเท่านั้น อย่าพึ่งแต๋วแตกก่อนเวลาอันควร แปลงกายไปก็เท่านั้น คำปรามาสของเจ้าเราประยุกต์ใช้เพื่อสอนผู้อื่นที่มีความสนใจฝักใฝ่และขวนขวายเท่านั้น
    เจ้าเป็นเพียงเครื่องมือในการแสดงธรรมของเราเพียงเท่านั้น
     
  16. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    ********
    เจ้าคิดว่าเราทุกข์หรือ เราสุขต่างหากที่ได้ล้อเลียนสรรพจิต สรรพสัตว์ ที่เราสร้างขึ้น ซึ่งล้วนแต่อวดตนเองว่ารู้มาก จักรวาลไร้ขอบ แต่ความรู้มีขอบจำกัด มิอาจรู้มากกว่าที่ตนเองรู้ได้อีกแล้ว

    สรรพธรรมที่เรานำมาแสดงคือสิ่งที่อยู่เหนือกว่าการคิดในกรอบเหนือขอบจักรวาลที่เจ้าคิดว่าไร้ขอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  17. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    *********
    เราชอบต้มยำปลาแกล้มสุรา ร่วมวงกับเมียหลายๆคน ผัวแก้ว เมียแก้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  18. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511
    **********
    เราจะกินต้มยำปลาโง่ที่ติดเบ็ด แกล้มสุรา ร่วมกับเมียทุกๆคน ไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ผัวแก้ว เมียแก้ว ยก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2008
  19. siarayamarata

    siarayamarata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    390
    ค่าพลัง:
    +511






    *********

    [คุณธรรมสามประการ คุณ นะทำ [ฉันไม่ทำ] คุณ นะทำ [ตัวเอง] และ คุณธรรม] <O:p</O:p

    >><O:p</O:p
    คุณธรรมสามประการต่อไปนี้ เป็นคุณธรรมของสรรพสัตว์ทั้งปวง<O:p></O:p>
    ที่เกิดมาบนโลกมนุษย์และนรกสวรรค์ทั้งปวง คุณธรรมสามประการนี้มีทั้งคุณธรรมของคนดี<O:p></O:p>
    คุณธรรมของคนชั่ว และคุณธรรมของพระโพธิสัตว์ <O:p></O:p>
    คุณธรรมสามประการกอปรด้วย

    คุณธรรมของคนดีทั้งปวงนั่นคือ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คุณ นะทำ [ฉันไม่ทำ] <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    หมายความว่า เกี่ยงกันที่จักเป็นผู้นำในหมู่ผู้ทรงคุณธรรมความดี <O:p></O:p>
    หากมิถึงคราวจำเป็นจักมิยอมออกมาทำหน้าที่ของผู้นำคอยดูอยู่ภายนอก วางเฉย <O:p></O:p>
    เห็นคนชั่วทำความชั่วแต่วางเฉย มิคิดลงมือมือช่วยเหลือผู้ถูกกระทำ<O:p></O:p>
    เพราะเกรงว่าตนเองจักเดือดร้อน <O:p></O:p>
    มิกล้า ให้ผู้อื่นออกหน้าแล้วตนเองอยู่ร่วมในทีมงาน มิยอมทำหน้าที่ของผู้นำ<O:p></O:p>
    ในการต่อสู้กับอำนาจชั่วร้าย เพราะหากออกหน้าเป็นผู้นำจักเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายคนชั่ว<O:p></O:p>
    จึงถนอมตัวเองด้วยความเห็นแก่ตัว คอยสนับสนุนคนกล้าที่ต่อสู้กับหมู่มาร<O:p></O:p>
    เพียงเกรงว่าหมู่มารจักรุกล้ำเข้ามาอาณาเขตเขื่อนขันธ์ของตนเองเพียงเท่านั้น <O:p></O:p>
    การวางเฉยในการประกอบความดีเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาตัวรอดคนเดียว <O:p></O:p>
    รู้มากจึงกลัวว่าจักต้องทุกข์จากการกระทำผิดกฎแห่งกรรม <O:p></O:p>
    เห็นผู้อื่นทุกข์กลับมิลงมือช่วยเหลือ <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    หากคนทุกคนคิดเช่นนี้ จักมิต่างไปจากเทพเซียนพระพุทธเจ้าพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ทั้งปวง<O:p></O:p>
    ที่หลุดพ้นไปก่อนแล้ววางเฉยมิคิดช่วยเหลือมวลหมู่สรรพสัตว์<O:p></O:p>
    ที่มิอาจจักฝึกฝนตนเองกระทั่งหลุดพ้นได้ <O:p></O:p>
    ทิ้งคนข้างหลังให้เคารพนับถือศรัทธา แต่ตัวตนที่แท้จริงกลับวางเฉย มิรู้ร้อนรู้หนาว<O:p></O:p>
    ถือว่ากูหลุดพ้นแล้วข้างหลังจักเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน <O:p></O:p>
    หากการฝึกฝนตนเองเพื่อการหลุดพ้นง่ายจริง <O:p></O:p>
    คงมิมีคนเกิดมาบนโลกมนุษย์มากมายถึงหกพันล้านคน ในปัจจุบัน <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    คนที่นับถือจึงพากันหลงทาง คิดว่าเป็นหนทางเดียวที่จักหลุดพ้นไปจากความทุกข์ได้ <O:p></O:p>
    มิมีจิตสำนึกของผู้ทรงคุณธรรม มิมีจิตสำนักรับผิดชอบต่อมวลหมู่สรรพจิต สรรพสัตว์ทั้งปวง <O:p></O:p>
    มัวแต่เกี่ยงงอนกันเป็นผู้นำ มิใช่ยื้อแย่งกันเป็นผู้นำ <O:p></O:p>
    แต่มิยอมทำหน้าที่ของผู้นำ หากขาดผู้นำที่เข้มแข็งยากที่จักเอาชนะมาร<O:p></O:p>
    ที่เข้ามาขัดขวางการแสดงธรรมทั้งปวงของเราได้ <O:p></O:p>
    มารต้องการทำหน้าที่ของผู้นำพระผู้สร้างทั้งปวง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามี<O:p></O:p>
    เทพเซียน พระโพธิสัตว์ทั้งปวง <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    จุดอ่อนของคนดีคือขาดภาวะผู้นำ อ่อนแอ อ่อนไหว ขาดความหนักแน่น <O:p></O:p>
    เราจึงต้องสู้คนเดียว ตั้งค่ายกลขึ้นมาต่อสู้กับหมู่มารด้วยตนเอง <O:p></O:p>
    เพราะจิตพระผู้สร้าง พระพุทธเจ้า เทพเซียน พระโพธิสัตว์ ทั้งปวง ล้วนไร้ประโยชน์<O:p></O:p>
    เต็มไปด้วยจุดอ่อน ยังมิอาจข้ามพ้นกลับคืนสู่ความว่างเปล่าสีขาวสุกสกาวคือพุทธปฐมได้ <O:p></O:p>
    ขาดความกล้าหาญ ขาดภาวะผู้นำ เป็นผู้ตามที่ด้อยสติปัญญา ถูกมารหลอกได้เสมอ <O:p></O:p>
    ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เท่ากับสูญเปล่า มิอาจจักช่วยเหลือเราในการต่อสู้กับหมู่มาร<O:p></O:p>
    ที่เข้ามารังควาญ เข้ามาขัดขวางการแสดงธรรมของเราได้ <O:p></O:p>
    ขาดจิตสำนึกของผู้ทรงคุณธรรมที่แท้จริง <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>

    คุณธรรมของคนชั่วทั้งปวง นั่นคือ

    คุณ นะทำ [ตัวเอง]<O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    หมายความว่า คุณนั่นแหละเป็นคนทำตัวคุณเอง มิมีใครทำคุณ คุณทำชั่วเพราะคุณชั่วเอง <O:p></O:p>
    ความทุกข์ใดๆ ที่เกิดขึ้นตามมาล้วนเกิดจากการกระทำของคุณเองทั้งสิ้น มิมีใครทำคุณ <O:p></O:p>
    เพราะคุณทำผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ <O:p></O:p>
    คุณจึงต้องกลับมาชดใช้กรรมที่เคยกระทำต่อผู้อื่นไว้ <O:p></O:p>
    จักมาร้องขอ จักมาเรียกร้องความเป็นธรรมในภายหลังมิได้ <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    เพราะขณะที่คุณลงมือทำความชั่ว ทำคนอื่นให้ได้รับความทุกข์<O:p></O:p>
    ผู้อื่นมิอาจเรียกร้องใดๆจากคุณได้เฉกเช่นกัน <O:p></O:p>
    อีกทั้งผู้อื่นได้รับทุกข์ไปแล้ว ผู้ถูกทำร้ายได้ถูกทำร้ายไปแล้ว ผู้ถูกฆ่าได้ถูกฆ่าไปแล้ว <O:p></O:p>
    มิอาจเรียกร้องความสุขนั้นกลับคืนมาได้ มิอาจจักฟื้นคืนชีวิตมาได้ <O:p></O:p>
    การทำความชั่วแล้วร้องขอความเห็นใจเมื่อถูกลงโทษ จึงเป็นพฤติกรรมของจิตมาร<O:p></O:p>
    ที่เคยแต่กระทำให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ แต่ตนเองมิเคยได้รับทุกข์จากการถูกกระทำ <O:p></O:p>
    เป็นจิตสรรพสัตว์ที่เห็นแก่ตัว ชั่วร้ายแท้ที่จริง<O:p></O:p>
    การที่คุณชดใช้กรรมที่คุณก่อขึ้น มิมีใครทำคุณ คุณ นะทำ [ตัวเอง]<O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>

    คุณธรรมของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง นั่นคือ

    [คุณธรรม]<O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    หมายถึงจิตสำนึกของพระโพธิสัตว์ที่เห็นผู้อื่นได้รับทุกข์แล้วมินิ่งดูดายลงมือช่วยเหลือ <O:p></O:p>
    เห็นคนชั่ว ทำความชั่วแล้วมินิ่งดูดายลงมือขัดขวาง โดยมิเกรงว่าตนเองจักเดือดร้อน <O:p></O:p>
    ต่อสู้กับหมู่มารด้วยความกล้าหาญเข้มแข็ง ปราศจากความกลัว<O:p></O:p>
    หากเมื่อใดเกรงกลัวนั่นคือจุดอ่อนที่จักถูกมารโจมตีทันที <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้นผู้จักทำหน้าที่ของผู้นำฝ่ายธรรม ต้องเป็นผู้ทรงคุณธรรมที่เข้มแข็ง หนักแน่น <O:p></O:p>
    กล้าหาญ มิวางเฉย มิอยู่ตรงกลางระหว่างความดีกับความชั่ว ตัดความเห็นแก่ตัวออกไปให้สิ้น <O:p></O:p>
    ทำงานเพื่อส่วนรวมทั้งระบบ มิเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด <O:p></O:p>
    ซึ่งจักต้องเป็นผู้รู้จริงเท่านั้น ที่จักทำหน้าของผู้นำฝ่ายธรรมได้ <O:p></O:p>
    สามารถตอบโต้ฝ่ายมารได้ทุกรูปแบบ ตาต่อตาฟันต่อฟัน อย่างมีศิลปะ <O:p></O:p>
    มิอาจเมตตาจิตมาร มิอาจเมตตาคนชั่ว ทำลายคนชั่วเพื่อช่วยคนหมู่มากที่มีคุณธรรมความดี <O:p></O:p>
    นั่นจึงจักได้ชื่อว่าผู้ทรงคุณธรรมที่แท้จริง <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
    มิใช่มิยอมทำชั่วทั้งปวง เพราะเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวกฎแห่งกรรม ปลีกวิเวกเอาตัวรอดคนเดียว <O:p></O:p>
    นั่นเป็นคุณลักษณะของคนดี แต่มิใช่คุณลักษณะของคนดีที่ทรงคุณธรรม <O:p></O:p>
    ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เฉกเช่นปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง ล้วนเอาตัวรอดคนเดียวทั้งสิ้น <O:p></O:p>
    มิกลับมาทำหน้าที่ของพระโพธิสัตว์ ช่วยเหลือส่ำสัตว์ สรรพจิต สรรพสัตว์ทั้งปวง <O:p></O:p>
    ก้าวพ้นสายธารแห่งความทุกข์ เพราะผู้อื่นยังมิรู้ ผู้รู้กลับมิกลับมาทำหน้าที่ของผู้รู้ที่มีคุณธรรม <O:p></O:p>
    มิทำหน้าที่นำทางมวลหมู่สรรพจิต สรรพสัตว์ ให้รู้แจ้งตามที่ตนเองได้พิสูจน์มา<O:p></O:p>
    เสียชาติเกิดหากบรรลุธรรมขั้นสูงแล้วยังคงมีความเห็นแก่ตัว <O:p></O:p>
    เสียศาสตร์วิชาทั้งปวงที่เราสอนมา มิอาจนำมาใช้จริงได้ <O:p></O:p>
    ขอบเขตการนำไปใช้จำกัดอยู่เพียงมวลหมู่พระผู้สร้าง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามี <O:p></O:p>
    เทพเซียนจากลัทธิเต๋า พระโพธิสัตว์ ทั้งปวงเพียงเท่านั้น <O:p></O:p>
    มิคุ้มค่า ยังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังมิอาจรู้แจ้งเห็นจริง เสียชาติเกิด <O:p></O:p>
    เกิดมาทั้งทีทำดีให้ได้ คุณธรรมต้องลงมือทำความดี ความดีคือการละเว้นความชั่วทั้งปวง <O:p></O:p>
    >><O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2008
  20. หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ

    หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    347
    ค่าพลัง:
    +22
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>หัตถ์เทพหมื่นวิญญาณ, siarayamarata </TD></TR></TBODY></TABLE>ชื่อเรายาวกว่านะ อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...