หัวใจสำคัญของการปฏิบัติอยู่ที่นี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กลายแก้ว, 10 ตุลาคม 2013.

  1. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ทุกคนในโลกนี้ เมื่อเกิดขึ้นมาอยู่ในโลกนี้แล้ว สิ่งที่ต้องรู้ที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลย คือ เรื่องกฎของไตรลักษณ์และกฎธรรมชาติที่มีเหตุและปัจจัย ผลใดๆที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุที่มาเสมอ เพราะชีวิตเราเป็นสิ่งนั้น(เป็นไตรลักษณ์) และเกิดจากสิ่งนั้น(อิทัปัจจยตา) หรือเกิดจากฎธรรมชาติ ถ้าเรารู้สองสิ่งข้างต้น เราจะรู้ว่าตนเองเป็นใคร


    การทำความเข้าใจทำให้เกิดปัญญาเรื่อง ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นปัญญาที่เราให้เราพ้นทุกข์ เราจะพิจารณาได้ระดับหยาบ คือ สภาพแวดล้อมที่เรามองเห็นได้ที่อยู่รอบตัวเรา ในระดับกลาง คือกับสภาวะตัวเราที่เปลี่ยนแปลง และในระดับอย่างละเอียด คือสภาวะจิตใจของเราที่เปลี่ยนแปลงทุกขณะ เพราะทุกสิ่งตกอยู่ภายไต้กฎไตรลักษณ์
    ๑. ทุกสรรพสิ่งมีการเกิดขึ้น
    ๒. ทุกสรรพสิ่งตั้งอยู่เพื่อดำรงอยู่
    ๓. ทุกสรรพสิ่งต้องเลื่อนไปสู่ความดับสลาย เพื่อนำไปสู่การเกิดขึ้นใหม่ตามเหตุและปัจจัย


    สภาวะเหล่านี้จึงเรียกว่า อนัตตา ที่มีใครบังคับควบคุมให้เป็นไปอย่างที่ต้องการได้ เราจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นดังที่เราหวัง เราจะหวังให้เป็นอย่างนี้ เราหวังจะให้เป็นอย่างนั้น ถ้าเหตุปัจจัยไม่ได้ ก็จึงไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง ที่เราได้ตามที่หวังก็เกิดจากเหตุปัจจัยที่สร้างไว้ ผลก็จะเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้อยู่ตลอดไป มันไม่เที่ยง มันจึงเป็นทุกข์ เราไม่รู้ไม่เข้าใจเราไปยึดให้เป็นอย่างที่หวัง หรือ เป็นตัวตน เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น จึงเกิดความทุกข์


    การที่เราเรียนรู้เรื่องโลกและจักรวาลที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา เพื่อที่จะให้เราได้รับรู้ความเป็นกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตรงตามหลักพระพุทธศาสนา ที่สอดคล้องกับพลังงานของจักรวาลที่มีการเลื่อนไหลตลอดเวลา เปลี่ยนแปลง ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ มีการไหลเวียน การกระแทก การชน การรวมกลุ่ม มีการแยกออกจากกัน เป็นแสดงสภาวะพลังงานทางธรรมชาติของจักรวาล ให้เราเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงรูปธรรมที่เกิดขึ้น หากพลังงานทำให้สภาวะใดสภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะเหตุยังมีอยู่ แต่ถ้าพลังงานได้เปลี่ยนแปลงไปการเลื่อนไหลไปอีกสภาวะหนึ่งเหตุเดิมก็ดับ เหตุใหม่ก็เกิดขึ้น ซึ่งมันจะเกิดอย่างนี้เสมอ นักวิยาศาสตร์จึงได้กล่าวว่า ในจักรวาลนี้มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างสสารและพลังงานอยู่ตลอดเวลา

    สสารและพลังงาน จึงเป็นตัวปรุงแต่งรูปธรรมให้เกิดขึ้น ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ไม่เว้นแต่มนุษย์เราล้วนเป็นพลังงานและสสาร หรือทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า สังขาร และวิญญาณ หรือรวมเรียกว่า สัพเพสังขารา

    ถ้าเราพิจารณาดูให้ดี พระพุทธศาสนาจะชี้ให้เห็นคำว่า อนัตตา และ อัตตา ที่ว่าทุกสิ่งที่เห็นอยู่ว่ามีจริง ที่เรายึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนคืออัตตา นั้น มันไม่มีอยู่จริง แต่ที่มีอยู่จริงคือความไม่ใช่ตัวตน คือ อนัตตา มันเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยที่มีแรงเหนี่ยวรั้งธาตุต่างๆ ของสสารมาผสมกันอย่างลงตัว ผลคือ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ที่มีเหตุเกิดจากกิเลส และกรรม และไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ที่มีเหตุเกิดจากมนุษย์ค้นพบธาตุแล้วนำธาตุต่างๆมาแปรเปลี่ยนสภาพสร้างขึ้นมาเป็นวัตถุต่าง ๆ อาทิเช่น ของกินของใช้ มากมายในโลกนี้

    ส่วนนามธรรมเป็นสิ่งเรามองเห็นไม่ได้ เช่นจิตใจ แต่ที่เรารับรู้และสัมผัสได้ก็เปลี่ยนแปลงเป็นไปตามการกระทำของเราตลอดเวลานั่นเอง ซึ่งมนุษย์เป็นสิ่งเดียวในจักรวาลนี้ที่มีอิสระในทางเลือกที่ตัดสินใจได้ทุกอย่างแล้วแต่จะเลือกเป็น คือเป็นไปตามความคิด ตามอารมณ์ ตามการปรุงแต่งของใจนั่นเองจึงมีสภาวะอย่างที่เราเห็นที่เราเป็นอยู่

    กฎแห่งการโน้มถ่วง คือ การเคลื่อนที่ของทุกสิ่งในเอกภพเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่งและจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงเปรียบเสมือนกับมนุษย์เราที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง แล้วแต่เราจะเจอเหตุการณ์ใดแล้วตัดสินใจอย่างไร ตัวเจตนาของเราเปรียบเป็นพลังงานที่ทำให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา เหมือนพลังงานของจักรวาลที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้น เลื่อนไหลไปไม่หยุดนิ่งแล้วแต่เหตุปัจจัยทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมา

    หากเราไม่รู้ความจริงเหล่านี้บ้าง ทำให้เรายึดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตัวตน เราจึงต้องต้องเวียนว่ายตายเกิดแล้วๆ เล่าๆ เพื่อรับทุกข์อย่างที่เป็นอยู่นี้ จนกว่าเราจะทำลายอวิชชา โมหะความหลงไม่รู้ตามความเป็นจริงเสียได้ โดยทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อหลุดจากแรงดึงดูดของโลก หลุดพ้นไปจากโลก เราจึงหมดเหตุปัจจัยในการเกิดเพื่อมารับทุกข์นั่นเอง
     
  2. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    โลกตามความหมายทางพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ให้ความหมายที่ละเอียดกว่างทางวิทยาศาสตร์ ที่ว่าละเอียดกว่า เพราะพระพุทธองค์แบ่งโลกออกเป็นทั้งทางวัตถุ หรือรูปธรรม และนามธรรม แต่วิทยาศาสตร์รู้เฉพาะโลกทางวัตถุเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสไวว่า โลกหมายถึงสิ่งที่ต้องแตกทำลายไป ท่านวิเคราะห์ว่า ลุจจฺตีติ โลโก สิ่งใดย่อมแตกสลายสิ่งนั้นเรียกว่าโลก ประกอบด้วย

    1 สังขารโลก กล่าวคือ สภาวธรรมที่ตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขธรรมชาติ หรือภายใต้เงื่อนไขของเหตุปัจจัย เช่น ร่างกายเรานี้ ประกอบด้วยขันธ์ทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สรรพสิ่งอื่น เช่น ภูเขา ต้นไม้ ก้อนหิน บ้าน รถ ก็จัดอยู่ในสังขารโลกด้วย เพราะสิ่งเหล่านี้ตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ ได้แก่ อนิจจัง คือความไม่คงที่ ทุกขัง คือ ตกอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ อนัตตา คือไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของใคร
    2 สัตว์โลก เช่นมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย สรรพสิ่งเหล่านี้ ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขของธรรมชาติ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับสายไปในที่สุด มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และมีตาย ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งไตรลักษณ์ทั้งหมด
    3 โอกาสโลก โลกคือแผ่นดินหรือดวงดาว ก็ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์


    แต่ช่วงที่พัฒนาเพื่อการเรียนรู้นั้นเราต้องอาศัยโลก หรือ ร่างกายที่เกิดจากโลก เป็นธาตุส่วนหนึ่งของโลก ร่างกายก็ย่อมเป็นของโลก หรือ สังขารของโลก พระพุทธองค์ทรงตรัสไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น จึงตรงกับคำว่าทุกสิ่งในโลกไม่เที่ยง ตัวตนไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่ถือว่าเป็นตัวตนของเรา เพราะตัวตนที่เห็นอยู่เป็นผลจากจิตที่ทำกรรมนั่นเอง หรือพลังงานของอารมณ์ในตัวเราที่รับจากสิ่งภายนอกจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกมาเป็นผลกรรม นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2013
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    รู้ว่ามีแล้วจึงรู้ว่ามันไม่มี รู้ว่ามันไม่มีเพราะมันไม่ได้มีได้ด้วยสิ่งที่เห็น ตัวตนที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากความไม่มีตัวตน การที่ไม่รู้ถึงสิ่งเหล่านี้เป็นผลให้เกิดผล หากเป็นไปด้วยกิเลสตัณหาจึงเป็นอกุศลกรรม หากมิได้เป็นไปด้วยกิเลสตัณหาเรียกเป็นกุศลกรรม แต่ถ้าไม่ได้เกิดด้วยเหตุอันใดจึงเรียกว่า ไม่มีผลกรรม พระพุทธองค์ พระศาสดากล่าวว่า เห็นผลของการยึดมั่นหรือไม่ เห็นแล้วจะทำยังไง เมื่อไม่รู้จึงต้องยึดเมื่อรู้แล้วจึงไม่ยึด พระองค์ไม่เคยห้ามหรือไม่ให้หรืออะไรก็ตามที่เป็นไปโดยการบังคับ น่าจะพอเข้าใจนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...