หัวใจสำคัญของการปฏิบัติอยู่ที่นี

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กลายแก้ว, 10 ตุลาคม 2013.

  1. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เป็นเจ้าของสวนสตอเบอรี่ กับเขาด้วยหรือจ๊ะ

    ไม่เอานะจ๊ะ ไม่ต้องกด like นะจ๊ะ ไม่สนนะจ๊ะ
     
  2. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
     
  3. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ทำไมคำตอบของผู้ปฏิบัติธรรม วกไปวนมา

    ตรงต่อความจริงมันยากหรืออย่างไร
     
  4. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ก็อย่างที่ เคนนี่2 พูดมานั่นแหล่ะจ้า ความจริง คำตอบจริง มันมีอยู่แล้วของมัน แต่ที่ ตรงต่อไม่ถูก หรือหาคำตอบไม่ได้สักที ต่อตรงหาคำตอบที่จริงไม่ได้ เพราะ ตนเอง นะจ๊ะ เริ่มต้นถูก ตรงกลางจะถูก สุดท้ายปลายทางก็ถูก ก็จะได้คำตอบที่จริง

    งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย นะจ๊ะ

    ถึงผมจะตอบ เป็นคำตอบที่จริง แต่คุณ ก็จะไม่รู้ว่ามันจริง เพราะคุณยังมีสิ่งที่ไม่จริง ผสมอยู่ นั่นคือ อวิชชา นั่นเองนะจ๊ะ
     
  5. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
     
  6. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ที่สุดของความหิว คือ พ้นจากความหิว ก็คือ ความไม่หิว หรือเรียกว่า ความอิ่ม นะจ๊ะ

    หรือจะเรียกว่า ไม่หิวแล้ว ก็ได้ ไม่ต้องพูดว่า ความอิ่มหรืออิ่มแล้วก็ได้

    เพราะ ตอนแรกที่มีคือความหิว เมื่อกินอิ่มแล้ว ความหิวไม่มีแล้ว ก็จบ นะจ๊ะ

    จะมาถามหาว่า ความหิวหายไปไหน และอะไรคือสิ่งที่เข้ามาแทนความหิว
    อันนี้ ไม่ไช่ สิ่งที่ควรสงสัย นะจ๊ะ

    แล้วก็ มาต่อว่า อะไรคือที่สุดของความสงสัย ล่ะจ๊ะ
     
  7. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ความสงสัย ไม่มีจริงนะจ๊ะ เพราะ ถ้าจะถามว่า ใครล่ะคือ ผู้ที่สงสัย

    ใครล่ะคือ ผู้ที่สงสัย สงสัยเพื่อใคร จะเอาคำตอบเพื่อใคร คำตอบที่ได้ จะอยากได้คำตอบเพราะความสงสัยหรือ ต้องการคำตอบเพราะ มีผู้ที่สงสัย อยู่เบื้องหลัง ล่ะจ๊ะ
     
  8. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    คุณ อินทรบุตร ตอบได้มั้ยจ๊ะ ว่า ผู้ที่สงสัย อยากได้คำตอบนั้น คือใครจ๊ะ

    หรือ ผู้ที่อยาก รู้ในสิ่งที่สงสัยนั้น ใครจ๊ะ
     
  9. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เราไหนจ๊ะ ตัวเราอยู่ไหนจ๊ะ

    คำตอบที่ได้นั้น มีใครเขาไปเอาจ๊ะ ผมไม่เอานะจ๊ะเพราะผมไม่สงสัย คนอื่นก็ไม่เอานะจ๊ะเพราะคนอื่นก็ไม่ได้สงสัย ใครก็ไม่เอา ไม่ต้องการคำตอบที่สงสัยนั้น นะจ๊ะ

    แล้วอินทรบุตร จะเอาคำตอบนั้นได้ จริงๆ หรือจ๊ะ จะเอาไปเก็บไว้กับใครจ๊ะ

    ถ้าไม่เอาคำตอบ ก็ไม่สงสัยไงจ๊ะ ก็ไม่มีคนเอาคำตอบไงจ๊ะ ไม่มีคนสงสัยจริงๆ ไงจ๊ะ
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครอยากรู้

    ไม่มีประโยชน์จะพยายามมาตอบ
     
  11. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ที่จริงมันไม่มีประโยชน์ ตั้งแต่พยายามมาถาม นะจ๊ะ

    ที่สุดแห่งความจริง = ความจริงมันไม่มีประโยชน์

    ถ้าไม่มีคนสงสัย ถ้าไม่มีคนอยากรู้ ก็ถ้าคำตอบไม่มีประโยชน์ ก็น่าจะ ไม่มีคนถาม นะจ๊ะ
     
  12. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    ท่านอินทรบุตรจ๊ะ

    ที่บอกว่า ลมหายใจมันไม่เที่ยง ปล่อยให้รู้ตามสภาวะของธรรมชาติ ถ้าหากจิตเราโง่ คือ เข้าไปยึด หรือ ลองเข้าไปบังคับลมหายใจทำให้ทุกข์ เรียกว่าจิตโง่ ที่เอาตัวตนเข้าไปบังคับให้เป็นไปตามอย่างที่เราต้องการให้เป็น

    ขออภัยนะที่พิมพ์แล้วทำให้เข้าใจผิด
     
  13. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    ตอบท่านสับสน นะจ๊ะ

    การเรียนในตำรา หรือ การศึกษาหาความรู้เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่เราเรียนรู้ถูกต้องหรือไม่ แล้วนำมาปฏิบัติ ถ้าไม่เรียนรู้ศึกษาแล้วจะนำมาปฏิบัติถูกหรือ ส่วนการจะปฏิบัติได้แค่ไหน เราเท่านั้นจะเป็นผู้รู้เอง เพราะแต่ละคนมีแนวทางไม่เหมือนกัน ขอให้ตนเองไม่ทุกข์ หรือ รู้เท่าทันทุกข์ก็พอ


    ส่วนการมาบอกก็เพียงบอกแต่ว่า ให้เริ่มก้าวเดินเข้ามรรคแปดเถิด เพราะหากหมดวาระพระพุทธศาสนาแล้ว จะไม่มีใครมาบอกเรา ยกเว้นบุคคลพิเศษบางประเภทเท่านั้น อยากให้ทุกคนสะสมภูมิธรรมไว้ อย่างน้อยถ้ายังไปนิพพานไม่ได้เลย ก็ต้องกลับมาต่อยอดอย่างแน่นอน

    ขอทราบวิธีการปฏิบัติของท่าน ท่านเอาอะไรมาวัดข้าพเจ้ายังมิได้ปฏิบัติ หรือไม่ได้เริ่มปฏิบัติ

    ข้าพเจ้ายอมรับว่า ข้อความนี้อาจพิมพ์จากตำรามาให้อ่าน เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ และตรวจสอบได้จากปฏิบัติของข้าพเจ้าเอง เลยพิมพ์แบบสรุปมาให้อ่าน

    เพราะเห็นว่าท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2013
  14. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634


    ขอถามท่านอินทรบุตรนะว่า

    1.ท่านเข้าถึงสภาวะธรรมของอนัตตาอย่างไร

    2.ท่านมีวิธีการในการละตัวตนอย่างไร ขออธิบายโดยละเอียด เพื่อที่ข้าพเจ้าจะนำไปพิจารณา หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ ทั้งสองข้อเลยนะ


    ท่านอย่าบอกนะจ๊ะว่า ต้องเรียนรู้เป็นการส่วนตัว เอาแบบที่ท่านคิดแล้วว่าปฏิบัติเข้าใจง่าย เพราะคนที่รู้มาจากใจไม่ยากเลยที่จะอธิบายด้วยใจไง

    3.แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้ากล่าวมามันผิดตรงไหนบ้าง ตามวิสัยของนักปราชญ์ ย่อมชื่นชมยินดีในเจตนาของคนอื่น หากรู้ถ้าเขาผิดพลาดก็ช่วยแก้ไข หรือรู้่แล้วว่าสิ่งตนเองปฏิบัติมา ตนเองปฏิบัติถูกต้องแล้ว ก็นำสิ่งที่รู้มาบอกเป็นวิทยาทานแก่บุคคลอื่น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2013
  15. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    คำเหล่านี้เหมือนกันหรือไม่

    1. ความคิดของสังขารอันปรุงแต่งที่เกิดจากใจฟุ้งซ่าน หรือ นิวรณ์ 5 ลังเลสงสัย แล้วยึดมั่นเป็นตัวตน
    2. การคิดพิจารณา ด้วยสติและปัญญา โดยโยโสมนสิการ คิดในขณะที่จิตมีสภาวะเป็นปกติสุข ไม่มีอารมณ์ขุนมัวเศร้าหมอง หรือมีสติระลึกรู้อย่างเต็มที่ในความคิดพิจารณาในเรื่องนั้น ๆ ที่ให้เห็น หรือ เกิด สัมมาทิฐิ (รู้ตามความเป็นจริง)
    3. ธัมมวิจยะ คือ การเอาตัวรู้ ที่รู้เห็นสัมมาทิฐิ เข้าไปกำหนดผู้รู้(ปัญญา) เอาไว้ที่ใจเพื่อให้เห็นการทำงานของขันธ์ห้าว่ามีลักษณะการเกิดดับอย่างไร ที่รู้สึก ที่จิตรับรู้อารมณ์ ที่ธรรมมารมย์ เสวยอารมณ์ เพื่อให้เห็นแล้วค่อย ๆ ละวาง อย่างนี้ใช้มิได้หรือ
    4. โยโสมนิการ และ การวิจัยธรรมะ ที่ประกอบด้วยสติ มีความเพียร มีความสงบในการพิจารณาในเรื่องนั้น ๆ เพื่อให้เกิดปัญญา พร้อมที่จะวางอุเบกขา ถึงแม้จะเริ่มต้นหรือยังไม่บรรลุธรรมอะไรเลย แต่อย่างน้อยก็เป็นการเดินก้าวเข้าสู่ทางสายแห่งปัญญาแล้ว ถือว่าเป็นการเริ่มต้นได้หรือไม่
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ประโยชน์ของคำถามนี้ ไม่ได้อยู่ที่คำถามนี้ แต่อยู่ที่สิ่งที่คำถามนี้่จะนำไป

    ข้อที่เหลือ ไม่มีประโยชน์ที่จะคุยกัน เพราะเป็นคำถามที่ไม่ได้เกิดจากการอยากพัฒนาสภาวะธรรม ไม่มีประโยชน์อะไรในการคุยกันต่อจากนี้ครับ
     
  17. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านท่านอินทรบุตร และท่านสับสันเป็นอย่างสูง ข้าพเจ้าถือว่า ผู้ให้คำตำหนิ คือ ผู้ให้ปัญญา ผู้ให้การช่วยเหลือแนะนำให้เกิดปัญญา คือ ผู้ให้ทุกสิ่ง ทุกคนมีแนวทางของตนเอง ที่ต้องการทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ บุคคลที่เข้ามาในพระศาสนาเริ่มก้าวเดินทางในมรรคแปด ไม่ติดแต่ชั้นทาน หรือ ชั้นศีล หรือ ชั้นสมาธิ แต่ยังไม่เริ่มพิจารณาให้เห็นกันเสียที เพียงแต่คิดว่า ต้องให้ได้สมาธิขั้นสูงกันเสียก่อน ขอให้เขาพิจารณาแล้วมีความเข้าใจได้บ้าง รู้บ้างว่าเหตุปัจจัยมีมาอย่างไร จะได้ไม่ต้องอยู่กับความไม่รู้ กำหนดรู้ทุกข์ ละได้อย่างเบาบาง หรือ อย่างที่สุดค่อย ๆ ละ นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการทำเพื่อพระศาสนา


    ข้าพเจ้าทำอยู่นี้ ก็เพื่อปรารถนาดี คิดว่าข้าพเจ้ามาบอกหรือสอนแนะนำคนอื่น มิใช่เป็นที่ทุกท่านคิด ข้าพเจ้าบอกแล้วพิมพ์จากพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ แต่เป็นอย่างย่อ ใครอยากอ่านอย่างเต็ม ให้ไปอ่านของ หลวงพ่อธี วิจิตตธมโม สำนักวิปัสสนาภาวนาอนัตตารามถ้ำวัว ซึ่งข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า นี่คือการเดินทางแห่งสายปัญญาอย่างแท้จริง

    ข้าพเจ้ามิอาจสอนใครได้ ข้าพเจ้าก็ยังศึกษาอยู่ แนะนำเฉพาะที่ข้าพเจ้าปฏิบัติแล้วได้ผลเท่านั้น

    ท่านอยากรู้อะไรในการปฏิบัติเกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าถามมา แล้วจะตอบในส่วนที่ตอบได้ อย่าคิดไปดูถูกคนอื่นเขาเลยนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ตุลาคม 2013
  18. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634

    ขอถามท่านอีกข้อนะ

    เมื่อท่านรู้แล้ว ทำไมท่านจึงไม่บอกกล่าวเพื่อเป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น การบอกกล่าวนั้นมิได้หมายถึง การแก่ข้าพเจ้าเพียงคนเดียว
     
  19. กลายแก้ว

    กลายแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +634
    วิปัสสนา

    วิ คือ ค้นคว้าให้ลึกซึ้งเข้าไป

    ปัสสนา เฝ้าดู(ให้เห็นตามความเป็นจริงสิ่งที่ตามนุษย์ เทวดา พรหม มองไม่เห็นคือ ปรมัตถ์ธรรม

    วิปัสสนาจึงหมายความว่า เฝ้าดูให้ลึกซึ้งเข้ารไปเพื่อให้เห็นตามความเป็นจริง

    การทำวิปัสสนาภาวนา มีศีลห้าและอานาปานสติ คือ การเฝ้าดูลมหายใจเป็นกำลังหนุนที่สำคัญ มีปัญญา(ผู้รู้) เป็นกองหน้า ปัญญาที่มาทำงานมี 2 อย่าง คือ สัมมาสังกัปปะ และ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ แปลว่า ความดำริชอบ หมายถึง การค้นหาทางออกจากความยินดี(กามฉันทะ) ความยินร้าย(พยาบาท) และดำริในความไม่เบียดเบียน ความหมายในทางปฏิบัตินั้น สัมมาสังกัปปะ หมายถึง ปัญญา ค้นหาเหตุแห่งทุกข์ การค้นหาเหตุแห่งทุกข์ มี "สัมปชัญญะ" (ความรู้ ตัวทำแต่เหตุดีและละเหตุชั่วเป็นกองหนุน

    เมื่อพบปัจจุบันธรรมแล้ว จึงค้นเจาะลึกเข้าไปในสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันขณะนั้น เรียกว่า "สัมมาสังกัปปะ"(ค้นลึก) ตัวความที่ระลึกอยู่กับปัจจุบันขณะเรียกว่า "สัมมาสติ" เป็นกำลังหนุนสัมมาสังกัปปะ เมื่อทั้งสองมารวมกัน จึงหมายความว่า "ไม่ลืมพิจารณาปัจจุบันธรรม"

    การค้นหาเหตุแห่งทุกข์(สมุทัย) ต้องค้นลงไปในตัวทุกขสัจ ที่ทุกขสัจแสดงตัวชัด คือ การกระทบ(ผัสสะ) ของประสาทรับรู้ทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วเกิดความรู้สึก (เวทนา) ความรู้สึกเกิดได้ขึ้นสองทาง คือ กายกับจิต

    เวทนาทางกายมีสุขกับทุกข์ เวทนาทางจิต มีโสมนัส(ชอบใจ) กับโทมนัส (ไม่ชอบใจ) แปลให้ง่ายว่า ความรู้สึกที่เกิดกับกายและจิต และมีความยินดีและยินร้าย 2 อย่าง ซึ่งคือ มูลเหตุสำคัญที่เป็นต้นเหตุกำเนิดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แต่ยังไม่ใช่ตัวต้นเหตุจริง ๆ เพราะถ้าค้นหาหรือถามต่อไปว่า ใครคือผู้ที่รับความยินดียินร้าย ก็จะพบต้นเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ความยินดียินร้ายถ้าละได้ก็จะเกิดการวางเฉย(อุเบกขา) อันเป็นต้นเหตุไปสู่ความพ้นทุกข์(วิวัฎฎะ) ถ้าละไม่ได้ ก็จะเกิดความอยาก (ตัณหา) อันเป็นต้นทางหมุนไปสู่ความเวียนว่ายตายเกิดในทุกข์ (วัฎฎะสงสาร) ละความยินดียินร้ายเสียได้ก็จะเกิด (ความวางเฉย) อุเบกขา


    การเฝ้าดูหรือเฝ้าสังเกตุความรู้สึกทางกายและทางจิตอยู่เป็นประจำ แล้วฝึกเพียรปล่อยวางความยินดียินร้ายในโลกออกเสียได้ นี้คือ เส้นทางออกจากทุกข์เป็นงานสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรมทุกคน

    เพราะเมื่อฝึกปล่อยวางไปในทุกผัสสะและเวทนา ไม่ช้าก็จะถึงสภาวะที่เรียกว่า "สังขารุเบกขาญาณ" คือ สังขารความปรุงแต่งอันเป็นผลจากเวทนาทางจิต และเวทนาทางกายทั้งหมด จะสงบระงับเข้าถึงภาวะอันนิ่งสนิทแต่มีปัญญารุู้อยู่ เรียกว่า นิ่งรู้ จะเห็นความจริงของชีวิต (สัมมาทิฐิ) คือความเกิดขึ้นและดับไปของสภาวะธรรม ที่ยังเหลืออยู่ เช่น ลมหายใจ หรือ หัวใจเต้น ความเกิดขึ้นและดับไปเป็น อนิจจัง ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้เป็นทุกขัง ความเกิด-ดับ ๆ และความทุกข์นี้บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีตัวตน คือ อนัตตา มีเพียง 3 สิ่งนี้เท่านั้น (มีสัมมาสมาธิหนุุน) ความพยายามเข้าไปควบคุมบังคับธรรมชาติที่ไม่เที่ยง ปรวนแปรเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาให้อยู่กับที่ หรือ เป็นไปตามต้องการของอัตตา คือ ทุกขสัจ

    ผู้ปฏิบัติจะทำความรู้ชัดเฉพาะธรรมอันใดอันหนึ่งใน 3 อย่างนี้ เริ่มจากทุกขัง ไปหาอนิจจัง และอนัตตา จากหยาบเข้าไปหาละเอียด เอาความรู้ชัดอันนั้นเป็นแรงส่งให้อนุโลมญาณ คือ การแก้เหตุเมื่อแก้เหตุเสร็จก็เกิดมรรคญาณ การดับเหตุ คือ ดับอัตตา ความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เข้าสู่ผลญาณ คือ เข้าไปรู้จักและเสวยนิพพาน ในธรรมทั้ง 3 อย่าง คือ ทุกขัง อนิจจจัง อนัตตานั้น ธรรมที่เป็นคู่ปรับของอัตตา คืออนัตตา

    ถึงค้นหาให้เห็นอนัตตาชัดเจนเถิด อัตตาความเห็นเป็นเราเป็นตัวเป็นตน จักดับลงได้โดยง่าย ดับอัตตาก็ดับต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นในชั่วเวลาลัดมือเดียวแล้วจบลง ประตูอบายก็จะปิดสนิท พร้อมกับเปิดประตูนิพพานไว้ให้แก่ผู้ปฏิบัติ ทุกข์ก็สิ้นสุดเป็นนิโรธด้วยเหตุนี้แล

    หลวงพ่อธี วิจติตธมโม
     
  20. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ถึงท่านถามพวกเขาไป พวกเขาก็ตอบไม่ได้หรอกจ้า เพราะพวกเขารู้เพื่อตนเอง ไม่ได้รู้เพื่อผู้อื่น นะจ๊ะ นั่นเพราะ หลายคนที่ปฏิบัติมา คิดว่า ที่ตนเองรอดมาได้ ก็ ยากนักหนา ถ้าจะไปช่วยคนอื่นอีก ยิ่งยากกว่า พวกเขาคิดแบบนี้กันจริงๆ นะจ๊ะ

    เพราะข้าพเจ้าถามคนที่เข้าวัด ปฏิบัติธรรมมาแล้วหลายคน ว่า ทำไมพวกท่านถึงรู้ว่าปฏิบัติธรรมมันดี แล้วลูกหลานท่าน ที่ เป็นเด็กแว๊น กินเหล้าเมายา ทำไมพวกท่าน ไม่บอกสอนให้พวกเขารู้จักทำดีบ้างล่ะ เขาตอบว่า บอกไม่ได้ กรรมใครกรรมมัน สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เขาคิดได้แค่นี้นะจ๊ะ

    เพราะเขาคิดจะทำเพื่อตนเอง ก็ยังไม่จบไม่เข้าใจ แล้วเขาจะไปคิดเพื่อคนอื่นได้ยังไง กันล่ะจ๊ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...