อยากศึกษาธรรมปฏิบัติจากโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิต

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย อะหยังหว่า, 20 สิงหาคม 2010.

  1. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    โอ้ ข้าพเจ้าไม่น่ามาหาเรื่องเลย เอาล่ะ ๆ ข้าพเจ้าขอขมาท่านเจ้ากระทู้ด้วยนะจ้ะ

    ก่อนไป ท่านทบทวนคำนี้สักหน่อยสิจ้ะ อัตตามานะเธอช่างสูงส่งจริงๆ
    มันคืออะไร แล้วท่านนึกยังไงถึงได้ ไปกล่าวว่าคนอื่นเช่นนั้น ไม่ได้อะไรนะจ้ะ แต่ ก็ขอถามเช่นเดียวกันว่า ท่าน รุ้จัก อัตตะมานะ มาจากไหน รุ้เอง หรือ ฟังมา อ่านมา จำมาจากปากคนอื่นๆ เช่นกัน มันออกมาตั้งแต่หัวกระทู้แล้วล่ะ อันที่จริงก้ไม่ได้อยากมาตอบแล้วจ้ะ คิดว่าคงไม่มีประโยชน์แลกเปลี่ยนอะไรได้ตั้งแต่แรกอยุ่แล้วจ้ะ แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น เหอะๆ ไม่น่าเลยเรา หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ
    ไปล่ะจ้ะ


    กรรมใดที่เคยล่วงเกินมาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้ท่านได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2010
  2. วรกันต์

    วรกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    190
    ค่าพลัง:
    +257
    สุดท้าย ก็เป็นกระทู้เถียงกันไปเถียงกันมา อีกตามเคย

    :'(
     
  3. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    นั่นสิขอรับท่าน วรกันต์ ทำไหมเปงแบบนี้ไปได้ 5 5 5
     
  4. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163



    แสดงความคิดเห็น
    สาธุ สาธุ สาธุ กับ จขกท ถ้าไม่มีท่านผมคงไม่ได้มีโอกานมาตอบในกระทู้ท่าน
     
  5. อะหยังหว่า

    อะหยังหว่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +62
    อืมมมมม....อืมมม....

    คุณ armarmy อธิบายธรรมทั้งหมดในเว็บนี้จากความรู้ตนเองจริงๆหรือว่าลอกเขามาละครับ

    คนสงสัยก็ต้องถาม
    ทุกๆคนในเว็บนี้ก็ไม่แตกต่างจากผมละครับ ที่ชอบตัดสินคนอื่นอยู่เป็นประจำ ถ้าแนวคิดไม่ตรงของตนเอง จริงป๊ะ??? เขียนอะไรไปก็มองย้อนดูตนเองบ้าง
     
  6. อะหยังหว่า

    อะหยังหว่า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +62
    อัตตะมานะ คือ เรา เราคือ อัตตมานะ

    เราคือผู้ไม่รู้ ผู้ไม่รู้คือ เรา

    เราคือการทะเลาะ การทะเลาะ คือ เรา ยอมรับในทุกๆกรณีครับ

    แต่คนไม่ยอมรับตนเองว่ามีมานะ นะซิ้ หลงตนเองมากกว่านะครับ

    ท่านทั้งหลายผู้สิ้นมานะ ผู้มีเกียรติ ผู้มีปัญญา ผู้มีเมตตากรุณา บารมีสูง ก็ช่วยชีทางแก่ผู้ด้อยโอกาสทางธรรมด้วยเถิด

    ของร้องล่ะ โปรดสรรพสัตว์มานะสูงๆกันด้วยเถอะ... น่ะ!!!

    จะได้ไม่มีมานะสูง จะได้ให้เกียรติผู้คน เป็นบ้าง จะได้รู้แจ้งในธรรมอย่างท่านทะหลาย จะพูดจะกล่าวแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ทุกประโยคทุกกระทู้ อย่างที่ท่านทั้งหลายทำกันในที่นี้ จะเป็นผู้ใช้วาจาอันไพเราะต่อทุกคน ได้อย่างที่ท่านทั้งหลายเขียนกัน

    จะได้ไม่ตัดสินชีวิตคนอื่น อย่างที่ท่านทั้งหลายทำกัน

    บอกทางที่จะแก้นิสัยเหล่านั้นให้ ข้าฯด้วยเถิด ท่านผู้รู้ธรรม
     
  7. นะมัตถุ โพธิยา

    นะมัตถุ โพธิยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +2,269
    พระมหาโพธิสัตว์ บารมีสูงมาก และยังมีชีวิตอยู่


    1. วัดธรรมะอิสระ
    http://www.dhamma-isara.org
    หลวงปู่พุทธะอิสระ

    2. วัดทับคล้อ(สวนพระโพธิสัตว์)
    http://watthapklo.com
    หลวงพ่อพระมหาโกศล (พระครูวิสุทธิภาวนาคุณ)



    3. หลวงปู่วีระ วัดปากน้ำ (หลวงพ่อสด ได้บอกว่าท่านสำเร็จธรรมกายขั้นสูงสุดตั้งแต่ก่อนปี 2500 )


    4. หลวงปู่เยี่ยม วัดประดู่ทรงธรรม รูปนี้เดินสายยาว ได้ถึงขั้นรัตนจักร เหมือนหลวงปู่ชื้น (ไม่แพ้กันเลย)

    5. หลวงปู่หล่อ วัดโปรดสัตว์ เดินสายยาวอีกรูป รูปนี้เคยเข้าวังบ่อยๆ นะ ท่านสำเร็จชินบัญชร

    6. หลวงปู่บุญลือ วัดคำหยาด

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------


    Note : รายชื่อลำดับที่ 3 - 6 ได้มาจาก
    http://www.watkamyard.com/index.php?option=com_content&view=article&id=43:2010-07-22-14-49-37&catid=5:2010-07-22-12-47-16&Itemid=15
     
  8. 5314786

    5314786 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,801
  9. Armarmy

    Armarmy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +1,659
    งั้น สู้ๆ ต่อไปนะจ้ะ เอาเลยเต็มที่ มีความสุขกับตรงนี้แล้วก็ เอาเลย สู้ๆ อย่าหยุดนะ

    ไม่ต้องหยุดนะจ้ะ ใส่มันเข้าไป เอาให้เต็มเหนี่ยว สู้ๆ จ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2010
  10. yeen

    yeen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +3,656
    จั้งใด๋ล่ะน้ออ จักหยังเด้อ อาาว
     
  11. ต้า จง ฉือ

    ต้า จง ฉือ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2008
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +160
    จะสำเร็จธรรม...อยู่ที่ตัวของท่านเเล้ว

    จริงเเล้ว การศึกษาธรรมะ ถ้ามีอาจารย์ที่ชี้ทางถูก นั่นก้เป็นบุญของผู้ปฎิบัตินะ ครับ สำหรับผม ผมเเนะนำ ดร.เเม่ชีทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม ลองศึกษาการปฎิบัติธรรมของท่านดูนะครับ เเล้วคุณจะเข้าใจในเจตนาของดร.เเม่ชีท่าน
    มีให้ศึกษาทั้งหนังสือ เวบไซต์ เเละคลิบวิดีโออันเป็นเรื่องราวของกรรมทำหนด ลองไปดูครับ เเต่ให้พิจารณาเป็นอย่างๆไป เเม่เองก็ไม่ได้สอนให้เชื่อในตัวท่านเเต่ให้เชื่อในการพจารณาธรรมเป็นข้อๆไป


    สำหรับผม ยกให้ท่านเป็นพระโพธิสัตว์เดินดินในใจผมจริงๆ
     
  12. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    ต้องถามตัวเองก่อนนะครับ ว่าอยาก ขน รึปล่อย
    ถ้าอยาก ก็ไม่อยากหรอกครับ
    ทาน ศีล สมาธิ เอง ครับ
    จากนั้นก็ตามระดับ ปกติ ปานกลางและยากสุดนะครับ
     
  13. รัตนภูมินทร์

    รัตนภูมินทร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    219
    ค่าพลัง:
    +319
    ทำไมถึงต้องการที่ศึกษาธรรมจากพระโพธิสัตว์ล่ะครับ
     
  14. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ^^




    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ อะหยังหว่า [​IMG]
    ในเว็บนี้มีบ้างมั้ยครับ ผู้รู้ทางโพธิญาณจริงๆ ไม่เอาตามตำรานะครับ ข้อปฏิบัติๆจริงๆนะครับ
    ในเว็บนี้มีบ้างมั้ย -มีจ้ะ แต่บางครั้งอาจไม่ใช่กิจที่เขาจะต้องเปิดเผย เพื่อป้องกันการปรามาสโดยไม่ตั้งใจ

    ข้อปฏิบัติจริงๆจังๆไม่ตามตำรา - ก็ขึ้นกับว่าจริตแต่ละคนไปในทางใด ธรรมนั้นเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ลองเลือกฝึกกรรมฐานซักอย่างที่ตัวเองชอบดูสิคะ ถวายชีิวิตให้พระไตรสรณคมน์ รักษาศีลยิ่งชีพ แล้วครูบาอาจารย์ท่านจะมาช่วยดลใจเอง

    ธรรมรักษา ^^
     
  15. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,642

    อนุโมทนาในบทความนี้ครับ
     
  16. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    อนุโมทนาสำหรับกระทู้ ผมก้อเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยถามคำถามนี้ว่า
    ตัวเองปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า จะถอนก้อถอนไม่ได้ เหมือนกับว่าเรากำลังทำงานใหญ่ซักงานหนึ่ง และงานนั้นมีความคืบหน้าไปเรื่อยๆ ในทุกๆขณะปัจจุบันที่เคลื่อนที่ไป

    ตอนนี้ผมได้อาจารย์ชี้แนะแล้ว ขอให้ท่านเจออาจารย์ที่ชี้แนวทางแห่งพระโพธิสัตว์ในเร็ววัน

    ก่อนจบบทความขอฝากไว้ว่า
    1 ทำไหมเราถึงต้องการเป็นพระพุทธเจ้า โดยดำเนินทางแห่งพระโพธิสัตว์ เรานั้นปราถนาอะไร จากเหล่าสรรพสัตว์?
    สำหรับผมปราถนาให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายมีความสุข พ้นจากความทุกข์ที่แท้จริง ออกจากโลกแห่งมายา หรือโลกแห่งการปรุงแต่งทั้งหลาย
    2 ตอนนี้ดำเนินแนวทางไหน?
    ตอนนี้ผมกำลังดำเนินการปล่อยวาง ขันธ์ 5 ปล่อยวางขันธ์ ว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา และปล่อยวางจิตว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา และวางทุกสิ่งที่จิตเข้าไปรู้

    เราฝึกเพื่อวางความรู้ทางหลายทั้งปวง วางลักษณะและที่ไม่ใช่ลักษณะทั้งหลายทั้งปวง แม้ลักษณะแห่งพุทธะ ธรรมมะ สังฆะ ต้องวาง แม้สภาวะธรรมต่างๆ ต้องวาง แม้ความว่างก้อต้อววาง แม้จิตยังต้องวาง

    **************************************************************
    ในความคิดเห็นแห่งข้าพเจ้า อาจจะผิดหรือถูกแล้วแต่วิจารญาณของแต่ละท่านนะครับ เพราะข้าพเจ้าไม่เห็น หรือไม่ข้องในความผิดหรือถูก เพราะเมื่อมีผิดหรือถูกย่อมมาจากคติของแต่ละคนที่จะปรุงแต่งไป
    พระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ หรือ โพธิญาณ เป็นวิถีทางเดินไปสู่ทางแห่งความไม่มีอะไร เป็นวิถีทางเดินไปสู่ความไม่แบ่งแยกในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็นวิถีแห่งการวาง สละคืน เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทุกวิถีทางที่เป็นการสละคืน วิถีทางแห่งการปล่อยวาง ทางแห่งการจางคลายความยึดมั่นถือมั่น หรือเครื่องข้องทั้งหลาย วางจนไม่มีอะไรให้วาง นั่นแหละคือวิถีทางแห่งพระโพธิสัตว์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2010
  17. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    เท่าที่ความรู้เล็กน้อยที่ผมทราบมา พอทราบมาว่าพระโพธิสัตว์บารมีต้น หรือกลาง ควรเสาะหาร่วมบุญกับปรมัตโพธิสัตว์หรือแม้กระทั่งปรมัตยังติดตามเกิดเป็นพ่อลูกกันเช่น พระเจ้าตวันอธิราช และโอรสของท่านพระองค์หนึ่ง เพื่อสร้างสมบารมีหน่อเนื้อพุทธภูมิ ให้มีกำลังใจเข้มแข็ง วางอารมณ์แห่งการเป็นพุทธภูมิ เกื้อหนุนกันและกันเพื่อพระศาสนาต่อไปภายหน้า พุทธภูมิที่บำเพ็ญบารมีเดี่ยวๆ หากกำลังยังไม่เข้มแข็งพอจะเกิดอารมณ์ท้อและกำลังตกได้ง่าย(ได้ทราบมาจากครูอาจารย์บางอ่าน ส่วนจะถูกผิดประการใด ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจใครประการใดนั้น นั่นแล้วแต่ความละเอียด,ปัญญา,บารมีขั้นใดของพุทธภูมิท่านนั้น)อย่างไรก็ฝากไว้เป็นธรรมทาน ให้ไปคิดและไตร่ตรองดูกันครับ
    สำหรับเรื่องการตอบกระทู้ในห้อง หากท่านไม่มีหน้าที่ ท่านจะไม่ค่อยมาวุ่นวายหรอกครับ(ความเห็นส่วนตัว) ท่านส่วนใหญ่จะเป็นพระสงฆ์ อยู่แต่ในป่า ไม่ค่อยเสพกามแบบฆราวาส จิตจึงจะกลับเป็นประภัสสร สำหรับเรื่องการตอบถามกันแบบใด รู้กันมากน้อยแค่ไหน ผู้ตอบย่อมทราบตัวเองดีว่า ขณะตอบท่านมีโทสะหรือไม่ หากมีโทสะหรือ โมหะในการโต้ตอบ ตามความเห็นของผมไม่ถือว่าเป็นเมตตา ถือว่ายังวางอารมณ์พุทธภูมิกันไม่เป็น ผู้วางอารมณ์เป็นจะตอบปัญหา คิดหาเหตุผลโดยปัญญา หากเป็นการตอบเพื่อสงเคราะห์ก็จะตอบแบบเป็นกลางๆ เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นไปเพื่อธรรมทาน ไม่มีอารมณ์ขุ่นเคืองขณะถามตอบ ทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้การโต้ตอบ แบบบัณฑิต ถึงแม้จะมีการถามตอบแบบข่มกัน ย่อมมีผลกรรมต่อกันในภายพากหน้า บัณฑิตย่อมไม่กล่าววาจาอันนำไปเป็นเหตุแห่งการวิวาท ขุ่นเคืองจิตต่อกัน
    หากยังคิดว่าเราเป็นเรา รูปนามเป็นเรา ผมคิดว่่าควรกลับไปย้อนดูบทสวดมนต์แปล "รูปัง อนิจจัง วิญญานังอนิจจัง" ท่านแปลว่า รูปไม่ใช่ตัวตน นั่นคือไม่ใช่เรา ไม่มีในตัวเรา เป็นเสมือนบ้านที่มีจิตไปอาศัยอยู่ เมื่อบ้านผุพังไป เราก็ไปหาบ้่านอยู่ใหม่ นี่หมายถึงบ้่านที่ผุพังจนซ่อมไม่ได้ ซึ่งบ้านที่ผุพังนั้น เปรียบเสมือน ร่างกายเราซึ่งเริ่มแก่ชรา ผุพังจนเยียวยารักษาไม่ได้ ตายไปเน่าเปื่อยผุพัง จิตเราก็ต้องทิ้งร่างไปหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งสุดท้่ายที่เห็นว่าเป็นเรา แล้วเราที่เน่าเปลื่อยสลายไปมันยังเป็นเราอีกอยู่หรือ มันสลายไปแล้วจะมีเราให้ยึดอีกตรงไหน เราในวัยเด็ก หรือเราในวัยผู้ใหญ่ ล้วนแต่คือการเปลี่ยนแปลงรูป จะเรียกตรงไหนว่าเป็นเรา จะมีเราเดียวในวัยเด็ก หรือจะเรียกสองเรา ในทั้งวัยเด็กและผู้ใหญ่(อย่าไปเรียกเราสองเข้านะครับ เดี๋ยวจะงง) หรือจะเรียกไม่มีเราตอนตายดีครับ สรุปเรามันอยู่ตรงไหน เมื่อเราเห็นตามนี้แล้ว หากมีผู้ใดว่ากล่าวสิ่งใดลงไปกับร่างกาย ถามว่าเราเลือดตกยางออกหรือไม่ วาจาเหล่านั้นมิได้ทำอะไรเราได้เลย หากเรารู้เท่าทันกิเลส หากจิตตามรู้เท่าทันว่าเขาว่าร่างเรา มิใช่จิตเรา ตัวที่มีโทสะขุ่นเคืองนั้นคือจิต ที่ไปยึดว่า เขาว่าเรา จิตจึงโกรธ หากจิตถูกปล่อยวาง นึกสงสารผู้กล่าววาจานั้น มองถึงจิตท่านนั้นด้วยความสงสาร ในทางกลับกัน หากเรากล่าวสิ่งใดโต้ตอบกลับไป ท่านผู้อื่นเขาจะไม่มองเราด้วยความเวทนาหรอกหรือ? ธรรมะมีอยู่ทุกที่ ทุกขณะ ขึ้นอยู่กับวิปัสสนาญาณท่านผู้ใดอ่อนมากน้อยตามจิตที่จะจับ ตามพิจารณาได้ทัน ดังนั้นท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายพึงสงเคราะห์ธรรมะแก่กันด้วยจิตเมตตา วาจาใดก่อนจะกล่าวลงไปควรไตร่ตรองก่อนตอบ แม้กระทั่งตัวผมเอง ก็ต้องไตร่ตรอง มิได้ดีกว่าท่านผู้ใด หากสิ่งที่กล่าวออกไปกระทบกระเทือนใครโดยไม่ถูกต้องโดยธรรม ก็ขออภัย สุดท้ายก็อยากให้พุทธภูมิทุกท่าน ไม่ว่าบารมีต้น,กลาง หรือปลายได้เกื้อหนุนกันและกัน วางอารมณ์ได้ถูกต้องเพื่อสิ่งที่ท่านปรารถนา เจริญในธรรมครับ
     
  18. littlepopeye

    littlepopeye เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +264
    ธรรมนั้นเข้าถึงด้วยการปฏิบัติ ลองเลือกฝึกกรรมฐานซักอย่างที่ตัวเองชอบดูสิคะ ถวายชีิวิตให้พระไตรสรณคมน์ รักษาศีลยิ่งชีพ แล้วครูบาอาจารย์ท่านจะมาช่วยดลใจเอง
    เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย... อยากรู้อะไรปฏิบัติธรรมเข้าไว้ แล้ววันนึงจะมีคำตอบ...จะหายสงสัยเอง
     
  19. JIT_ISSARA

    JIT_ISSARA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,163
    บทย่อ จากคิริมานนทสูตร
    เป็นพระสูตรใหญ่ที่สำคัญมาก ใครได้อ่านแล้วพิจารณาให้ดี จะมีคำตอบให้ตัวเอง และจะเกิดปัญญาในการปฎิบัติธรรม ข้าพเจ้านำมาในส่วนที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นใจความที่สำคัญ เพราะพระสูตรนี้ยาวพอสมควร

    ผู้ที่อนาคตจะเป็นครูของหมู่สัตว์ หรือ ผู้ดำเนินทางทางพระโพธิญาณ ขอแนะนำให้อ่านพระสูตรนี้ครับ จะได้รู้หนทาง หรือ แผนที่โดยประมาณ แล้วไปเก็บรายละเอียดที่พระสูตรย่อยต่อไป
    ************************************************************
    การทำบุญทำกุศลทั้งหลายนั้น มิใช่ว่าจะให้บุญนั้นพาไป ในที่อื่น ทำเพื่อระงับดับกิเลสได้อย่างเดียว อย่าเข้าใจ ว่าทำบุญกุศลแล้ว บุญกุศลนั้นจะยกเอาตัวนำเข้าไปสู่ พระนิพพานเช่นนั้นหามิได้ ทำเพื่อจะระงับกิเลสตัณหา แล้วจึงจะไปพระนิพพานได้ กิเลสตัณหานั้นมีอยู่ที่ตัวของเรา ถ้าเราไม่ทำให้ดับ ใครจะมาช่วยดับให้ ต้นเหง้าเค้ามูลของ กิเลสตัณหาอยู่ที่เรา ถ้าเราดับไม่ได้ก็ไม่ถึงซึ่งความสุขใน พระนิพพานเท่านั้น<O:p</O:p
    <O:p></O:p>
    ผู้ปรารถนาพระนิพพานก็ต้องศึกษาให้รู้จักพระนิพพานไว้ ก่อนจึงจะได้ จะมาตั้งหน้าปรารถนาเอาโดยความไม่รู้นั้น จะมีทางได้มาที่ไหน ดูกรอานนท์ บุคคลทั้งหลายควรจะ ศึกษาให้รู้ให้แจ้งทางของพระนิพพานไว้ให้ชัดเจนแล้วไม่ควร ประมาท แม้ปรารถนาจะไปก็ไป แม้ไม่ปรารถนาจะไป ก็อย่าไป ครั้นเห็นดีแล้ว จิตประสงค์แล้ว ก็ให้ปฏิบัติ ในทางของพระนิพพานด้วยจิตอันเลื่อมใสก็อาจจะสำเร็จ ไม่สำเร็จก็จะเป็นอุปนิสัยต่อไป ผู้ที่ไม่รู้แม้ปรารถนาจะไป หรือไปอยู่ใกล้ที่นั้นบ่อยๆก็ไม่อาจถึง เพราะเข้าใจผิด คิดว่าอยู่ที่นั้นที่นี้ ก็เลยผิดไปตามจิตที่คิด หลงไปหลงมา อยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่มีวันที่จะถึงพระนิพพานได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดูกรอานนท์ บุคคลผู้ไม่รู้ ไม่แจ้งไม่เข้าใจในพระ นิพพาน ไม่ควรจะสั่งสอนพระนิพพานแก่ท่านผู้อื่น ถ้าขืน สั่งสอนก็จะพาท่านหลงหนทาง จะเป็นบาปเป็นกรรมแก่ตน ควรจะสั่งสอนแต่เพียงทางมนุษย์สุคติ สวรรค์สุคติ เป็นต้นว่า สอนให้รู้จักทาน ให้รู้จักศีล ๕ ศีล ๘ ให้รู้กุศลกรรมบถ ให้รู้จักปฏิบัติมารดาบิดา ให้รู้จักอุปัชฌาย์อาจารย์ ให้รู้จัก ก่อสร้างบุญกุศลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและผู้อื่น เพียงเท่านี้ก็อาจจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติพอสมควร อยู่แล้ว ส่วนความสุขในโลกุตตรนิพพานนั้น ผู้ใดต้องการจริง ต้องรักษาศีล ๕ ศีล ๑0 ศีลพระปาติโมกข์เสียก่อนจึงชื่อว่า เข้าใกล้ทาง มีโอกาสที่จะได้จะถึงโลกุตตรนิพพานโดยแท้ แม้ผู้ที่จะเจริญทางพระนิพพานนั้น ก็ให้รู้จักท่านผู้เป็นครู ว่ารู้แจ้งทางพระนิพพานจริง จึงไปอยู่เล่าเรียน ถ้าไปอยู่ เล่าเรียนในสำนักของท่านผู้ไม่รู้ไม่แจ้ง ก็จะไม่สำเร็จ โลกุตตรนิพพานได้ เพราะว่าทางแห่งโลกุตตรนิพพานนี้ เล่าเรียนได้ด้วยยากยิ่งนัก ด้วยเหตุสัตว์ยินดีอยู่ในกามสุข อันเป็นข้าศึกแก่พระนิพพานโดยมาก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อันว่าพระนิพพาน นั้นพึงให้ดูอย่างแผ่นพระธรณีมีลักษณะอาการฉันใด ก็ให้ ตัวเรามีลักษณะอาการฉันนั้น ถ้าทำได้เช่นนั้นก็ได้ชื่อว่า ถึงพระนิพพานดิบ ถ้าทำไม่ได้ แต่พูดว่าอยากได้ จะพูด มากมายเท่าไรๆ ก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะได้จะถึงเลย ถ้า ปรารถนาจะถึงพระนิพพานแล้ว ต้องทำจิตทำใจของตน ให้เป็นเหมือนแผ่นดินเสียก่อน ไม่ใช่เป็นของทำได้ด้วยง่าย ต้องพากเพียรลำบากยากยิ่งนักจึงจะได้ จะเข้าใจว่าปรารถนา เอาด้วยปากก็คงจะได้ อย่างนี้เป็นคนหลงไปใช้ไม่ได้ ต้องทำตัวทำใจให้เป็นเหมือนแผ่นดินให้จงได้ ลักษณะของ แผ่นดินนั้น คนและสัตว์ทั้งหลายจะทำร้ายทำดี กล่าวร้าย กล่าวดีประการใด มหาปฐพีนั้นก็มิได้รู้โกรธรู้เคืองที่ว่า ทำใจให้เหมือนแผ่นดินนั้น คือว่าให้วางใจเสีย อย่าเอื้อเฟื้อ อาลัยว่าใจของตน ให้ระลึกอยู่ว่า ตัวมาอาศัยอยู่ไปชั่วคราว เท่านั้น เขาจะนึกจะคิดอะไรก็อย่าตามเขาไป ให้เข้าใจอยู่ว่า เราอยู่ไปคอยวันตายเท่านั้น ประโยชน์อะไรกับวัตถุข้าวของ และตัวตนอันเป็นของภายนอก แต่ใจซึ่งเป็นของภายใน และเป็นของสำคัญ ก็ยังต้องให้ปล่อยให้วาง อย่าถือเอาว่า เป็นของของตัว กล่าวไว้แต่พอให้เข้าใจเพียงเท่านี้โดยสังเขป<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อันที่แท้จิตใจนั้นเป็นลม อันเกิดอยู่สำหรับโลก ไม่ใช่จิตใจของเรา โลกเขาตั้งแต่ง ไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับด้วยลมจิตใจ ณ กาลเป็นภายหลัง ถ้าหากว่าเป็นจิตใจของเรา เราพา เอามาเกิด ครั้นเกิดขึ้นแล้วจิตใจนั้นก็หมดไป ใครจะ เกิดขึ้นมาได้อีก นี่ไม่ใช่จิตใจของใครสักคน เป็นของ มีอยู่สำหรับโลก ผู้ใดจะเกิดก็ถือเอาลมนั้นเกิดขึ้น ครั้น ได้แล้วก็เป็นจิตของตน ที่จริงเป็นของสำหรับโลกทั้งสิ้น ที่ว่า จิตใจของตนนั้น ก็เพียงให้รู้ซึ่งการบุญการกุศล การบาป การอกุศล และเพียงให้รู้ทุกข์สุข สวรรค์และพระนิพพาน ถือเอาไว้ให้ถึงที่สุดเพียงพระนิพพานเท่านั้น ถ้าถึงพระ นิพพานแล้ว ต้องวางจิตใจคืนไว้แก่โลกตามเดิมเสียก่อน ถ้าวางไม่ได้เป็นโทษ ไม่อาจถึงพระนิพพานได้ มีคำแก้ไว้ ดังนี้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    บุคคลทั้งหลายผู้ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน จง วางเสียซึ่งใจอย่าอาลัยความสุข การวางใจก็คือการวางสุข วางทุกข์ และบาปบุญคุณโทษร้ายดี ซึ่งเป็นของสำหรับ โลกนี้เสียให้สิ้น สิ่งเหล่านี้สร้างไว้สำหรับโลกนี้เท่านั้น เมื่อต้องการพระนิพพานแล้วต้องปล่อยวางไว้ในโลกนี้ สิ้นทั้งนั้น จึงจะได้ความสุขในพระนิพพาน ซึ่งเป็นความสุข อย่างยิ่ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้วนับไม่ถ้วนก็ดี และ จะมาตรัสรุ้ในกาลเป็นภายหลังก็ดี จะมาช่วยพาเอา สัตว์ทั้งหลายไปให้พ้นจากทุกข์ แล้วให้ได้เสวยสุขเช่นนั้น ไม่มี มีแต่มาแนะนำสั่งสอนให้รู้สุขรู้ทุกข์ รู้สวรรค์ และ พระนิพพานอย่างเดียวกันกับเราตถาคตนี้ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p</O:p
    อานนฺท ดูกรอานนท์ บุคคลที่ปรารถนาซึ่งสวรรค์ และพระนิพพาน ก็จงรีบพากเพียรกระทำให้ได้ให้ถึงแต่ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะมีอยู่ที่ใจของเราทุกอย่าง จะเป็น การลำบากมากอยู่ก็แต่พระนิพพาน ผู้ที่ปรารถนาความสุข ในพระนิพพาน จงทำตัวให้เหมือนแผ่นดินหรือเหมือน ดังคนตายแล้ว คือให้ปล่อยความสุขและความทุกข์เสีย<O:p></O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2010
  20. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393

    จะไปเป็นครู ก็ต้องเริ่มด้วยการเป็นนักเรียนก่อน

    จะไปเป็นผู้สอน ก็ต้องเริ่มด้วยการเป็นผู้เรียน


     

แชร์หน้านี้

Loading...