เตือนพระหาเงิน ผิดทั้งวินัย ผิดทั้งกฏหมาย!

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย THODSAPOL SETTAKASIKIT, 28 พฤศจิกายน 2010.

  1. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ////////////////////////////////////
    กราบนมัสการครับพระคุณเจ้า โยมขอสนทนาธรรมกับพระคุณเจ้า และกับท่านที่เข้ามาอ่านทุกท่่านโดยไม่เจาะจงแต่เฉพาัะกับพระคุณเจ้า แต่เป็นไปเพื่อให้ทุกท่านได้เข้าใจธรรมะได้กระจ่างขึ้นครับ
    ++++++++++++++++++++++
    กราบนมัสการพระคุณเจ้า โยมขออนุโมทนาในธรรมที่พระคุณเจ้ากล่าว ที่โยมกล่าวว่า คนพาลนั้น ในที่สุดความไม่มีคนพาล ไม่มีตัวตนปรากฎอยู่นั้นในที่สุด พระคุณเจ้ากล่าวได้โดยชอบแล้ว แต่สิ่งสมมติที่เรียกว่า คนพาลนั้น โยมยังเห็นว่ามีอยู่ โดยเฉพาะกับท่านทีี่มีทิฐิ สนทนาธรรมโดยมิได้ใช้ใจที่เข้าใจธรรม โยมเข้าใจดีว่าบางครั้ง ทิฐิคนต้องใช้เวลากว่าจะคลาย แต่บางท่านมิสามารถทำให้คลายได้ในชาติปัจจุบันก็มีอยู่ ประโยชน์จากท่านที่เข้ามาอ่านแล้วเข้าใจพระวินัยมากขึ้นก็มีอยู่ โยมขอยกตัวอย่าง พระเืทวทัต โยมขอกล่าวว่าเป็นพาลในเวลาหนึ่ง ซึ่งทิฐิของท่านขณะนั้น ถ้าให้โยมเข้าใกล้ โยมคงไม่เข้าใกล้ เห็นประโยชน์น้อยที่เสวนาตัวต่อตัวกับท่านที่ยังมีทิฐิอยู่ ได้ประโยชน์มากกับท่านที่ทิฐิน้อยและเข้่ามาอ่านธรรมโดยวาระและปัญญามาถึง แต่พระเทวทัตในจิตสุดท้ายก่อนท่านโดนธรณีสูบ นั่นทิฐิอีกอย่างหนึ่ง อันนั้นน่าเข้าใกล้และสนทนาธรรมด้วย บัณฑิตย่อมสนทนาธรรมโดยปัญญา ยอมรับสิ่งที่เห็นที่ได้พิจารณาตามธรรม โยมเข้าใจถึงสิ่งสมมติเหล่านั้นดี หากสนทนาธรรมด้วยแล้วประโยชน์เกิดน้อย ทิฐิไม่คลาย สำหรับโยม โยมเอาเวลาไปทำซีดี ปฏิบัติกรรมฐานดีกว่า เช่นพระพุทธเจ้าเดินผ่านฤๅษีที่แอบกินอาจมในเวลากลางคืน ยืนกระต่ายขาเดียวทรมานร่างกาย เพื่อให้ท่านที่ผ่านไปผ่านมานิยมชมชอบ ด้วยคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นดี ทิฐิตรงนี้เวลานั้น โยมถือว่าเป็นพาล การสนทนาธรรมกับคนประเภทนั้น มิทำให้ทิฐิท่านผู้นั้นคลายได้ รังแต่จะเกิดการวิวาท เกิดปัญหาต่อสงฆ์เช่นพระคุณเจ้่าได้ประสบ เหตุเพราะมิได้วิเคราะห์ขณะสนทนาธรรมว่า คำว่าจิตที่เป็นพาลนั้นมีอยู่ หากมิใช่เหตุสุดวิสัยหรือทำให้เกิดข้อบาดหมางมากไป ควรที่จะหยุดสนทนาในขณะนั้นจะมิเป็นการดีกว่าหรือ พระพุทธเจ้าท่านเดินผ่านฤๅษีองค์นี้เป็นเวลา ๕๐ กว่าปี จนวันหนึ่งท่านเห็นโดยพระญาณของท่านว่า วันนี้แหละทิฐิที่เป็นพาลนั้นจะคลายลงและถึงเวลาที่ท่านจะโปรด ท่านจึงแสดงธรรมต่อฤๅษีท่านนั้นจนได้บรรลุธรรม ดังนั้นโยมจะขอเลือกคนที่จะสนทนาธรรม กับคนที่ถึงเวลา บุญเก่าที่พอจะเข้าใจธรรมะมีอยู่ โยมยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า โยมยังไม่อาจหยั่งรู้ใจคนและกรรมของคนเหล่านั้นได้ โยมได้แต่ใช้ปัญญาอันน้อยนิดของโยมพิจารณาว่า ท่านใดมีจิตที่เป็นบัณฑิต สามารถเกื้อกูลธรรมต่อกันได้ โยมเลือกที่จะอยู่ในท่ามกลางคนเหล่านั้น ท่านที่มีจิตที่ยังไม่ถูกขัดเกลา โดยสมถะวิปัสสนา โยมขอเรียกว่าคนพาลในขณะนั้น โยมสามารถใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาได้ แต่ธรรมะที่ไม่สมควรสนทนากับคนพาลนั้นมีอยู่ หากรู้ว่าสนทนาแล้วเกิดปัญหาใหญ่ๆ โยมเลือกที่จะนิ่งเฉยดีกว่า
    บางท่านศึกษาพระไตรปิฎกมายังไม่แตกฉาน แล้วมีทิฐิว่าสิ่งนี้ใช่ สิ่งนี้ถูก โดยมองกระจกด้านเดียว โยมมิได้กล่าวว่าโยมแตกฉาน แต่โยมศึกษาและได้ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงได้เมตตาความรู้ให้ตามปัญญาของโยม ท่านกล่าวว่าการจับเงินมิใช่เรื่องใหญ่ พระจะดีหรือไม่ดี มิได้อยู่ที่การจับเงิน อุปมาคนจะดีหรือเลวใช่ว่าอยู่ที่ความรวยจน มันวัดกันตรงนั้นไม่ได้ พระอรหันต์ที่ท่านจับเงินอยู่มีถมไป สิกขาบทที่พระพุทธองค์ท่านวางไว้ ท่านก็บอกไว้ชัดแจ้งว่าเมื่อเวลาผ่านไป ภิกษุอาจละสิกขาบทบางบทได้ เพื่อความอยู่ง่ายของภิกษุ เพื่อยังภิกษุให้คงอยู่ตลอด ๕๐๐๐ กว่าปี คงพุทธศาสนาเอาไว้ ตรงนั้นโยมว่าโยมเข้าใจชัดแจ้ง เพราะตัวโยมเองคงไม่มีเวลาไปคอยตามพระภิกษุ คอยถือเงินให้ภิกษุเวลาท่านจะใช้จ่ายสิ่งที่สมควรต้องใช้จ่าย เช่นการเดินทางต้องมีค่าเดินทางค่าอาหาร ค่าเล่าเรียน ค่าอะไรต่างๆที่จำเป็นต้องใช้ ตรงนั้นโยมมีปัญญาพอที่่จะเข้าใจ สำหรับท่านที่มีปัญญาไม่ถึงก็จะมองอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นการที่ท่านจับเงินเอง ไม่ต้องคอยอาศัยญาติโยมอยู่ตลอดเวลาเป็นสิ่งที่โยมและพระอรหันต์ต่างๆและผู้มีปัญญาเห็นและเข้าใจ เพื่อยังให้มีพระสงฆ์ได้บวชได้สืบทอดผ้าเหลือง พระสงฆ์ไม่ลำบากใจที่จะบวชเพราะหากไปติดกับสิกขาข้อนั้น พระสงฆ์ก็จะไม่กล้าบวชเพราะไม่มีโยมคอยจับเงินให้ อย่างนี้ชื่อว่า ยังสงฆ์ให้อยู่ในเมืองได้ สำหรับสงฆ์ที่ไม่ลำบากในเรื่องการจับเงิน มีผู้อื่นมาคอยดูแลให้ อันนั้นก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ท่านมีโยมอุปัฐากที่มีเวลาให้สามารถรักษาสิกขาบทข้อนี้ไว้ได้ ที่ประเทศเรามีทั้ง พระธรรมยุติและมหานิกายก็เพราะทางเลือกข้อนี้มีอยู่ มิใช่ให้นำมาติดมาคิดว่าพิจารณาแค่กระจกด้านเดียว เช่น เขาบอกว่าให้เดินทางตรงไป แต่ถ้าเจอขวากหนาม หุบเหวให้หลีกเลี่ยงได้ คนปัญญาทั่วๆไป เขาอ่่านทั้งประโยคแล้วประมวลความเอาได้ว่า อ้อ นี่คนๆเดียวกันพูด ถึงจะพูดคนละครั้งว่า ให้เดินทางตรงไป แล้วต่อมาอีกครึ่งชั่วโมงคนคนเดียวกันพูดว่า แต่ถ้าเจอขวากหนาม หุบเหวให้หลีกเลี่ยงได้ คนมีปัญญาย่อมประมวลข้อความเหล่านี้ได้ ถ้าจับเอาแต่คำว่า เขาบอกว่าให้เดินทางตรงไปอย่างเดียว ก็คงจะตกเหวตายซะก่อนที่จะถึงที่หมาย นั่นคือคนที่จับใจความตีความหมายของภาษาไม่เป็น เช่นเดียวกับ สิกขาบทว่า พระห้ามสะสมเงิน หลังจากนั้นท่านตรัสอีกว่า สิกขาบทบางบทในอนาคต อันทำให้สงฆ์อยู่ยาก(โยมเข้าใจว่า สิกขาบทเล็กน้อยที่ไม่ทำให้ขาดความเป็นภิกษุ เช่นการจับเงิน) ก็อาจจะละเสียได้ คนที่ทิฐิหนาปัญญาน้อย ก็จะจับเอาแต่คำว่า พระห้ามสะสมเงินอย่างเดียว นี่เขาเอาแค่ตรงนี้แล้วก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมมองต่อว่าว่า พระพุทธเจ้าองค์เดียวกันอีกนั่นแหละที่ตรัสต่อว่า สิกขาบทบางบทในอนาคต อันทำให้สงฆ์อยู่ยาก ก็อาจจะละเสียได้บ้าง ตรงนี้เขาทำมึนมองไม่เห็น เพราะทิฐิความเป็นพาลมันบังเอาไว้ เกรงว่าถ้ายอมรับตรงนี้แล้วตัวเองจะเสียหน้า กลายเป็นว่ากระทู้ที่ตัวเองตั้งขึ้นมา มีคนที่เขารู้มากกว่ามาแก้ แล้วมันรับกันไม่ได้ ใจมันไม่ยอมรับเพราะมีความเป็นคนใจด้่านอาศัยอยู่ มานานแสนนาน เพราะอะไร เพราะใจท่านเหล่านั้นมิได้ถูกขัดเกลาโดยสมถะวิปัสสนา มิได้มองความเลวของจิตตัวเอง เพ่งโทษแต่ท่านอื่นว่า ไม่สมควรเป็นพระบ้าง เป็นโมฆบุรุษบ้าง ต้องเป๊ะ ต้องมีข้อมูลมาอ้างบ้าง คนประเภทนี้ยังไม่เข้าใจโลกและธรรมได้มากพอ ซึ่งตรงนี้ในอดีตชาติโยมก็เคยเป็น มิใช่ดีกว่าท่านอื่นเลย อาศัยแต่ว่าโยมยังพอมีบุญอยู่บ้าง ได้เกิดมาแล้วรู้ว่า บางครั้งการเกิดเป็นมนุษย์ เราต้องมีธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องมีสัปปุริสธรรม รู้ว่าตัวเองเกิดมาแค่ไหน อยู่ตรงไหน เป็นใคร มีอำนาจมากน้อยแค่ไหน กำลังทำอะไร ไม่ต้องไปเอาภาษาบาลีให้ต้องมานั่งแปลกันอีกครั้ง รู้จักเหตุ ผล ตน เวลา บุคคลฯ เหล่านี้มันต้องเอามาใช้ ถ้าตัวเองไม่มีกำลังในขณะนั้น ต่อให้เป็นพุทธภูมิ ถ้าไปร้องแรกแหกกระเชอแล้วเปลี่ยนอะไรไม่ได้ จะทำไปหาพระแสงอะไร ใช่ไหมครับ หากไม่ใช่พุทธภูมิหรืออยากปรารถนาหรืออยากที่จะเข้าใจ ควรทำความเข้าใจซะใหม่ว่า บางเรื่องบางอย่าง หากเปลี่ยนบ้านเมืองไม่ได้ สู้อยู่เฉยๆรักษาชีวิตช่วยศาสนาไปตามกำลัง นี่เขาใช้ปัญญากันอย่างนี้ มิใช่เขาไม่รู้ พุทธภูมิบารมีธรรมสูงๆเขารู้ แต่บางชาติที่เขามาเกิดมันไม่ใช่หน้าที่ของเขา เขาก็วางตัวเฉยๆ คนเป็นพุทธภูมิลงมาทำหน้าที่แต่ละหน้าที่นั้นมีอยู่ ฝรั่งเขาว่า WHEN IN ROME,DO AS THE ROME DO. หรือเข้าเมืองตาหลิ่ว ให้หลิ่วตาตาม ถ้าเข้าไปในเมืองโรม แล้วไม่ทำตามชาวโรมเขาทำกัน เดี๋ยวก็โดนฆ่าตายกันเท่านั้น นี่เขาเรียกไม่รู้จักตัวเอง ไ่ม่รู้จักรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ ปล่อยให้โดนฆ่าตาย เขาเรียกคนโง่ เหมือนกับไปนิยมชมชอบการเผาพระพุทธรูป ดีนะที่อยู่เมืองพุทธ หากไปเกิดเมืองคริสต์ เมืองแขก เที่ยวไปเผาไม้กางเขน ไม่เข้าร่วมบูชายัญ คอยตะแบงไม่รู้จักตัวเองคงถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่ถ้าทิฐิมันยังล้นใจก็จะบอกว่า ขอยอมตายแม้จะต้องเผาก็ตาม พวกที่คอยเผาพระพวกนี้ เห็นมีก็แต่ พวกเดียรถีย์ ที่เกิดนอกศาสนา แถวอัฟกานิสถาน แถวอินเดีย หรือ พวกนอกรีตต่างชาติเขาทำกัน ที่เขาทำก็เพราะว่า สิ่งนี้เรียกพระพุทธรูป ความเลวในสันดานจิตเก่าๆจากชาติก่อน ที่เคยเกิดเป็นเดียรถีย์ เคยเผาพระมาในชาติก่อนๆมันตามมา คนประเภทนี้มิได้มองและเข้าใจธรรมะพระพุทธองค์อย่างถ่องแท้ ปากบอกว่าครับ เข้าใจอยู่ ระวังอยู่ แต่ใจนั้นมันด้านเกินกว่าจะเข้าใจว่า ที่ทำอยู่นั้นเขาไม่เรียกเข้าใจ เข้าใจแต่ปาก เขาไม่เรียกว่าเข้าใจ คิดง่ายๆว่าเราไม่นับถือไม้กางเขน ไม่นับถือวัว จะต้องไปนั่งเผาไม้กางเขน ฆ่าวัวให้คนทั่วๆไปที่เขานับถือเกลียดชังหรือ? ทำแบบนั้นคนโง่เขาทำกัน ไม่นับถือก็อย่าไปทำลาย จะทำลายของเพื่อสร้างศรัตรู คนโง่เขาทำกัน เก็บชีวิตไว้แก่ตายเองไม่ดีกว่าหรือ ถ้าไปเจอคนจิตเขาติดในพระพุทธรูปพระเครื่องแล้วเขาโกรธแค้นมาทำอันตรายเอาจะทำยังไง นี่แค่ธรรมะง่ายๆของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่เข้าใจ ยังไ่ม่กล่าวถึงโทษที่มองไม่เห็นจากการทำลายพระ แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงโทษเหล่านี้กับคนที่ชอบจำแต่ขี้ปากเขามา ไม่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะกล่าวไปก็ไม่มีประโยชน์ พระท่านบอกว่ารู้ได้เฉพาะตน คนปฏิบัติเขารู้เขาเห็นหรือคนที่มีจิตที่จะรู้ได้เท่าๆกันนั้นมีอยู่ มิใช่ไปจำขี้ปากเขามาแล้วมานั่งสงสัยว่า นิพพานที่ว่าจะมีม้ามานั่งก็ปรากฎ แล้วไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า? ก็นั่นน่ะซิ เที่ยวจำขี้ปากเขามาพูด แล้วมาสงสัยโดยที่บุญตัวเองไม่ถึงพอ ไม่มากพอที่จะไปนั่งปฏิบัติให้มันได้คลายความสงสัยปรามาสพระอริยะหลายๆท่านที่ท่านสอนไว้ว่าไปนิพพานนั้น มันจริงหรือเปล่า อย่าลืมว่าความตายมันจะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้นะ

    ขอให้ไปทำความเข้าใจเรื่องฆราวาสที่ไปนิพพานได้หรือไม่เสียใหม่ หากรู้ไม่ถึงหรือรู้ไม่แตกฉานพอแล้วนำความเข้าใจส่วนตัวมาแสดง โดยมิได้ไต่ถามครูอาจารย์ที่มีความรู้ทางพระไตรปิฎกพอ คนที่เขารู้ เขาอ่านแล้วจะหัวเราะเยาะสมเพท ส่วนคนที่ไม่เข้่าใจก็จะเข้าใจไปผิดๆ

    พิจารณาอ่านดูดีๆ ท่านว่า "ท่านที่ได้้อรหัตผล ( ไปหาความรู้ความเป็นอหัตผลเอาเอง) หากฆราวาส สำเร็จในวันนั้นแล้วต้องตายเพราะร่างกายที่ไม่มีผ้าเหลืองครองไม่สามารถทนอยู่ได้ ถ้าเป็นฆราวาสได้้อรหัตผลสำเร็จอหัตผล หากบวชไม่ทันจะตายในวันนั้นตัวอย่างเช่น พระพาหิยทารุจิริยะ (ไปกูเกิ้ลเปิดหูเปิดตาเอาเอง อย่าเป็นกบคางคกอยู่ในกะลาครอบไม่ออกไปหาธรรมะที่สำนักอื่น) อันนั้นมันไม่เกี่ยวกับฆราวาสที่เขาตัดขันธ์ห้า มองขันธ์ห้าเป็นทุกข์แล้วตามพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน นั่นอารมณ์จิตขณะนั้นเขาสะอาด เขาสามารถไปเห็นได้ แต่เขายังไม่ใช่พระอรหันต์ แค่เป็นการปฏิบัติประสบการณ์ทางจิตที่เด็กๆเขาไปเห็นกันได้ง่ายๆ หากเขาเห็นสวรรค์ นรก นิพพานแล้วตายกันละก็ วันที่พระพุทธเจ้าเปิดโลกให้เห็น คนเหล่านั้นคงตายกันไปหมดแล้ว คงจะไม่พูดมาก เพราะพูดไป คนที่ไม่เคยปฏิบัติไม่รู้ไม่เห็น ก็ไม่เข้าใจ ไปคอยจำขี้ปากเขาเถอะ เสียเวลาทีีจะอธิบายให้เข้าใจ เรื่องพวกนี้อยู่ในพระไตรปิฎกแทบทั้งนั้น ถ้่าสำนักแผ่นดินแยก ขออภัย สามแยก ไม่มีหรือยังอ่านไม่ถึง ไปศึกษาเอาเอง แล้วถ้าตัวเองยังไม่ได้ปฏิบัติภาวนาอย่าได้เที่ยวอวดรู้ไปดูถูกภูมิธรรมของท่านผู้อื่น ผลที่เกิดมันมี ฆราวาสในเวบที่เขาได้โสดาบรรณมี จิตของพุทธภูมิที่เขาเทียบเท่าอนาคามี มีอยู่ โทษมันจะเกิดโดยไม่รู้ตัว
    จำไว้ว่าบ้านเมืองมีกฎมีระเบียบ เขาปฏิบัติกันมาอย่างไร มีพระจับเงินหรือไม่จับเงิน จะเป็นพระธรรมยุติหรือมหานิกาย พระที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์จับเงินหรือไม่จับเงิน นั้นมีอยู่ ฆราวาสจะเลือกถือบวชแบบไหนหากสะดวกที่จะให้คนอื่นจับเงินหรือจับเงินเอง เพื่อสะดวกในสืบทอดความเป็นพุทธบุตร เขาย่อมเลือกเอาสิ่งที่ทำให้เขาอยู่ได้เป็นภิกษุได้โดยไม่รบกวนฆราวาส นั่นคือทางเลือกของเขา เปิดหูเปิดตาดูความเปลี่ยนไปของบ้านเมือง พระสังฆราช พระเจ้าอยู่หัว พระอริยะทั้งหลายที่ท่านมีหน้าที่ดูแลตรงนี้มีอยู่ ตัวเราเป็นใครแล้วท่านเป็นใคร ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้มากๆๆๆ หากมันเลวร้ายหนักหนา ท่านเหล่านั้นคงไม่ปล่อยหรอก พุทธศาสนาอย่างไรก็มีวันเสื่อมสลาย เป็นกฎของไตรลักษณ์สาม สุดท้่ายก็ต้องเสื่อมสลายไปในที่สุด ไม่คงที่ เอาเวลาที่เหลือไปทำจิตดูจิตเพ่งโทษตัวเองเยอะๆ แล้วปัญญามันจะตามมา จะอ้างว่าพระไตรปิฎกฉบับในหลวง ก็ท่านยังไม่มาบัญญัติอะไรทั้งๆทีี่ท่่านทำได้ เพราะอะไร เพราะท่านทราบว่าความยุ่งยากมันมีอยู่ และประโยชน์ที่ได้นั้นก็มีอยู่ หากมองแล้วเกิดประโยชน์มากกว่าเสีย ก็ต้องปล่อยให้ยังประโยชน์ไว้ก่อน ตะแบงไปเผลอๆ พระที่จะบวชก็ไม่กล้าบวชเพราะไม่มีคนคอยดูแลให้ สมัยนี้มันเหมือนเมื่อก่อนที่ไหน ทุกคนต้องทำมาหากิน ใครจะว่างไปคอยรับใช้คอยถือเงินให้พระได้หนักหนา ความยุ่งยากมันมีอยู่ แค่องค์เดียวก็จะแย่แล้ว ถ้าหลายร้อยองค์คงไม่ต้องทำมาหากินกัน สุดท้ายเราเองนั่นแหละจะบาปเพราะ พอพระท่านไม่กล้าบวช สุดท้ายพระก็น้อยลงๆ ก็เพราะเีราเองนั่นแหละที่เที่ยวไปสร้างกฎระเบียบให้พระได้อยู่ยาก พระพุทธเจ้าท่านล่วงรู้เรื่องเหล่านี้ได้ดี ท่านถึงอนุญาติให้ละสิกขาบทเล็กน้อยได้ อนึ่งพระที่จิตไม่ขัดเกลาและสะสมเงินนั้นมีอยู่ ให้เลือกเนื้อนาบุญเอาว่า ควรทำกับท่านไหนแต่ก็มิได้หมายความ พระที่ไม่ได้จับเงินนั้นดีกว่าพระจับเงินตรงไหน หากพระไม่จับเงินนั้นได้เที่ยวเพ่งโทษท่านอื่น เข้าใจเอาว่าสิ่งที่ตัวทำดีกว่าท่านอื่น แล้วเที่ยวไปเผาพระพุทธรูป พระเครื่องนั้นมันสมควรอยู่หรือ แค่วินัยทำลายของสงฆ์ก็ลงนรกไปถึงไหนๆแล้ว เขาถวายพระพุทธรูปให้สงฆ์ มิใช่ของตัวเอง หากไม่ชอบใจ ถ้าเป็นพระปฏิบัติจริงๆ เขาจะวางเฉย สมมติมองเป็นศิลปะไปก็ยังได้
    มีคำถามอีกว่าเผาทำไม หากไม่มองว่านั่นคือพระ ทำไมไม่ไปเผาขันทองเหลือง เข็มขัดทองเหลือง อะไรทองเหลือง มากมาย เพราะอะไร เพราะคนเผาเอาจิตไปมองว่านั่น คือพระพุทธรูป ถึงต้องทำลาย อันที่จริงหากคนโง่เหล่านั้นใช้ปัญญาคิดว่า หากเขาไม่สร้างพระเอาไว้ คนรุ่นหลังๆเขาจะรู้จักไหมว่า ที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ถึงแม้จะเทียบกับองค์จริงท่านไม่ได้ แต่ประโยชน์นั้นมีไหม ต้องตอบว่ามีอยู่ การมองเห็นพระพุทธรูปเท่ากับเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านบอกให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หากไปอยู่เมืองนอกที่เขาไม่สร้างพระเอาไว้กับเมืองไทยที่เขาสร้างพระเอาไว้มากมาย คนไหนจะนึกถึงพระได้มากกว่ากัน หรือคนแขวนพระกับไม่แขวนพระ หากใจไม่มั่นคงใครจะนึกถึงพระได้มากครั้งกว่า ถ้ามันกระโหลกหนาคิดเลขตรงนี้ไ่ม่ออกก็คงไม่ต้องคุยกัน คนที่อยู่เมืองไทยเห็นพระพุทธรูปย่อมนึกถึงพระพุทธเจ้าได้มากกว่าแน่นอน นี่อานิสงส์ตรงนี้ประโยชน์ตรงนี้ ที่พระมหากษัตริย์ พระอริยะเจ้าทุกองค์ท่านได้สร้างพระมาตั้งแต่อดีต เอาแค่นี้พอพูดไปก็ไม่พ้นไปเอาเรื่องเดิมมาอ้าง เขาห้ามกราบไหว้วัตถุ
    ++++++++++++++++++++++

    แต่สงสัยจริงๆ ถ้าแน่จริงเข้าไปเผาพระแก้วซิ เขากราบกันทั่วบ้านทั่วเมือง ยกไปทั้งตัวพ่อตัวลูกๆทุกตัวเลยนะ แล้วแบกใบลานไปด้วย ไปบอกเขาว่ามาเผาวัตถุ แล้วเอาใบลานเวบแผ่นดินแยก เอ๊ย อะไรแยกๆนะ ไปอ้างเขานะ
    อย่างนั้นถึงจะเรียกว่าปฏิบัติตามพระไตรปิฎกที่ชอบยกมากล่าวอ้าวจริง กล้าๆหน่อยนะแล้วจะยอมกราบ
    ;ปรบมือ
    ++++++++++++++++++++++
    สัพพัง อัปปะราธัง ขะมะถะเมภันเต สิ่งที่ลูกเผยแพร่ออกไปเป็นธรรมทาน หากได้ล่วงเกินแก่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ทั้งหลาย กษัตริย์ เทวดา พรหม ทั้งหลาย ทั่วจักรวาล ขอท่านทั้งหลายได้อดโทษให้ลูกด้วยเทอญ
    จิตอันจะล่วงเกินท่านเหล่านั้น ไม่มีอยู่ในตัวลูก เมื่อเกิดทุกชาติไป ขอลูกอย่าได้ไปอยู่ในสำนักเดียรถีย์ หากกฎของกรรมเข้าแทรกให้ลูกหลีกเลี่ยงไ่ม่ได้ ขอให้มีพระดีมาโปรดโดยฉับพลัน ขอให้ลูกมีอารมณ์จิตตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฐิ พบพระพุทธศาสนาได้พบครูบาอาจารย์ที่ดีมีสัมมาทิฐิ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุกๆชาตินับจากชาตินี้ด้วยเทอญ
    ขอทุกท่านเจริญในธรรมครับ กราบนมัสการ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2011
  2. Natdarun

    Natdarun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +500
    ขออนุญาตสนทนาธรรมด้วยคนนะค่ะ คุณ bhothisata ตัวเราภูมิธรรมก็มีน้อย ปัญญาก็เพียงน้อยนิด อาศัยได้อ่านก็รู้สึกซาบซึ้ง และเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอดทุกคำพูดของคุณ bhothisata อธิบายได้ละเอียดและเข้าใจได้ง่ายๆ สำหรับคนปัญญาน้อยอย่างเรา คือมันอ่านแล้วเข้าใจ ไม่รู้คนอื่นจะเข้าใจเหมือนกันมั๊ย เพียงคุณทำใจให้ว่าง สะอาด แล้วคิดตาม คุณจะรู้ว่าอะไรถูกและอะไรที่ผิด อะไรเป็นเหตุ และอะไรเป็นผล ปัญญามันจะบอกได้เอง
    ว่าเราเข้าใจถูกต้อง หรือว่าเรางมงาย หลง ยึดติด ขอเพียงคุณมีอุเบกขา อยู่บ้าง
    และลดทิฐิ และตัวมานะ คุณจะได้อะไรอีกเยอะ เคยถามท่านเจ้าของกระทู้เรื่อง ผลของการซ่อมแซมพระพุทธรูป ของนางวิสาขาที่ได้ทำที่บังแดด และซ่อมแซมส่วนที่เสียหายของพระพุทธรูปในสมัยพุทธกาลแล้ว เราก็รู้ว่ามีผลอย่างไร ในทางตรงข้ามถ้าเราเผา และทำลายพุทธรูปจะมีผลอย่างไร ท่านเจ้าของกระทู้ไม่ตอบ ก็เลยไม่เข้าใจว่าตอบไม่ได้หรือไม่ตอบเพราะผิดกฎที่ท่านกำหนด นั้นแสดงว่าพระพุทธรูปมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว เลยอยากจะรบกวนคุณ bhothisata ช่วยตอบให้กระจ่างหน่อยค่ะ ว่าผลของการทำลายพระพุทธรูปนั้นจะมีโทษหนักหนาสาหัสแค่ไหน เผื่อบางท่านจะยังไม่ทราบ หรือไม่ยอมรับทราบ เสียดายความรู้และมันสมองของเจ้าของกระทู้จัง คุณเก่งนะแต่...........
     
  3. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    ขอเจริญพร

    ที่เราทำ CD ธรรมะแจก เราทำแจกตามกาล
    เช่นวันพระใหญ่ ๆ หรือวันสำคัญทางศาสนา
    ด้วยเหตุว่า เรารู้ธรรมใด ๆ อันลึกซึ่งบ้าง เกษมบ้าง บันเทิงใจบ้าง
    สุขใจบ้าง สงบใจบ้าง ชัดแจ้งบ้าง ประณีตบ้าง ฯ
    เราย่อมเผื่อแผ่แก่พุทธศาสนิกชน
    อนึ่ง เราไม่หวงธรรม ไม่หวงแหนสิ่งที่รู้ ไม่หวงแหนสิ่งที่ได้สดับ
    เราจึงอนุเคราะห์แก่พุทธศาสนิกชน
    ให้เขาได้รู้ด้วยบ้าง ให้เขาได้เข้าใจลึกซึ้งบ้าง ให้เขาได้เกษมบ้าง ให้เขาได้บันเทิงใจบ้าง
    ให้เขาได้สุขใจบ้าง ให้เขาได้สงบใจบ้าง ให้เข้าได้ชัดแจ้งบ้าง ให้เขาได้ประณีตบ้าง ฯ
    ซึ่งจะปล่อยพุทธศาสนิกชนมัวไปงมหา หรือขวนขวายเอง
    ยุคนี้ สมัยนี้ สิ่งล่อลวงทั้งหลายแฝงเร้นไปซะทุกที่
    เราจึงทำหน้าที่ "แจกเข็มทิศ" ให้ชีวิตพุทธศาสนิกชนที่ยังเข้าไม่ถึง
    ได้รู้ว่าทางใดชอบ ประกอบไปด้วยธรรม นำไปด้วยกุศล ถึงวิมุติได้
    ส่วนคนที่รับ CD ไปแล้วจักฟัง หรือไม่ฟัง จักปฏิบัติ หรือไม่ปฏิบัติ
    ก็สุดแท้แล้วแต่เขาเอง เราคงไม่ไปจี้ไชเขาหรอก
    ให้เข็มทิศไปแล้วก็ควรหาทางเดินต่อไปได้อย่างถูกต้อง
    (ส่วนมากจะเน้นแจกทางด้านสติปัฏฐาน เร็ว ๆ นี้จะแจกของหลวงตามหาบัว)

    สำหรับพระพุทธรูป
    ถ้ามองในสุมมติบัญญัติ ที่ชาวโลกสมมุติกันแทนองค์ท่าน เพื่อสักการะบ้าง
    เพื่อบูชาบ้าง เพื่อระลึกถึงบ้าง ฯ
    ถ้ามองในปรมัตถ์ ก็คือธาตุ ๔ (ดิน)
    ขึ้นอยู่กับว่า จะมองอย่างไร เห็นอย่างไร
    จริงอยู่ พระธรรมวินัยเป็นศาสดาก็จริง
    ให้เอาตู้พระไตรปิฏกมาตั้งเคารพแทนงั้นหรือ?
    ราคาพระพุทธรูปกับตู้พระไตรปิฏกต่างกันเท่าไรเชียว
    บุคคลผู้ยังเข้าไม่ถึง ย่อมต้องการ "สัญลักษณ์" แทนไว้เคารพท่าน
    เราเชื่อว่าไม่มีใครโง่พอที่จะบอกว่าพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า
    "แต่เราใช้เป็นสื่อแทนว่าเราน้อมบูชา ระลึกถึงท่าน" ด้วยกันทั้งนั้น
    ใคร ๆ ก็เข้าใจกันทั้งนั้นแหล่ะ

    เหมือนกับว่าจะสอนจรเข้ให้ว่ายน้ำ อย่างไรอย่างนั้น

    อีกอย่าง เรามองว่าเขาเจตนาดีนะ ที่อยากให้พระบริสุทธ์
    แต่ความบริสุทธ์เกิดจากใจ (จิต) ก่อน มิใช่หรือ?
    เธอไม่อยากให้เราทั้งหลายต้องอาบัติปาจิตตีย์
    แต่เราเล็งเห็นว่า ภายภาคหน้า เมื่อทิฏฐิอย่างนี้สั่งสม พอกพูน
    ภิกษุกลุ่มหนึ่งถือว่าตนบริสุทธิ์ เธอกล่าวติเตียนผู้อื่นด้วยมานะ ทิฏฐินั้น ๆ
    เธอพึงแยกกลุ่มกัน ออกจากกัน เมื่อสงฆ์แตกแยก เป็นสังฆเภท
    เรามาเพื่อเตือนมิให้เธอกระทำการเลยเถิดไปขนาดนั้น
    โยมทำให้พระปาจิตตีย์ กับส่งเสริมให้พระทำสังฆเภท
    อะไรมันจะหนักกว่ากัน?

    ขอเจริญพร
     
  4. แฟรงค์MBT

    แฟรงค์MBT สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +0
    สาธุ สาธุ สาธุ
    อ่านแล้วถึงคิดได้ว่า บุคคลที่คิดดี ทำดี ยังมีอยู่จริงๆ
     
  5. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    อานิสงส์สร้างพระ เสียงจากคุณครูบาอาจารย์


    อานิสงส์การสร้างพระ <?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>

    คติความเชื่อของพุทธศาสนิกชน เชื่อว่า อานิสงส์สร้างพระ ได้ชื่อว่า เจริญกรรมฐาน ข้อพุทธานุสติ และเป็นการบูชาพระรัตนตรัย สร้างบุญกุศลที่มั่นคงถาวรชั่วนิจนิรันดร์กาล ทั้งแก่ตนและแก่บุคคลผู้ร่วมอนุโมทนา สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แผ่ไพศาลไปได้ไกล ได้ร่วมกิจกรรมอันจักนำประโยชน์สุขสู่ตนและสู่สังคม ฯลฯ นอกจากนี้พระสงฆ์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แสดงธรรมเทศน์เกี่ยวกับกับอานิสงส์สร้างพระ เช่น

    .หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก .พระนครศรีอยุธยา แสดงธรรมไว้ว่า สร้างพระ องค์ ได้อานิสงส์ กัป ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ สร้างด้วยอะไรก็ตาม หมายความว่า บุญกุศลจะตามหนุนส่งท่านไปทุกภพทุกชาตินานถึง กัป

    .หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง .อุทัยธานี กล่าวว่า "การสร้างสมเด็จองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด การสร้างองค์ปฐมนี้ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ โดยใช้บัญชีสีทอง เป็นทองคำล้วนทั้งเล่ม จดบันทึก (เป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่จดธรรมดา) ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี้ ต้องเป็นคนมีบุญมาก และไปนิพพานได้เร็วมาก"

    .หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว .สุพรรณบุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่า ผู้ใดสร้างรูปพระพุทธเจ้า จะเป็นองค์เล็กเท่าต้นคาก็ดี ใหญ่กว่าต้นคาก็ดี ผู้นั้นจะได้เป็นพรหม เป็นอินทร์ หมื่นชาติแสนชาติ ถ้าเป็นมนุษย์ จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิหมื่นชาติ แสนชาติ จะไม่เป็นผู้ตกต่ำเลย ตราบจนกว่าเข้าสู่นิพพาน

    .พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ หรือ ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม .ลำพูน เคยแสดงธรรมไว้ว่า การสร้างพระ เปรียบได้กับธนาคารบุญ ซึ่งจะเกิดบุญกุศลกับผู้ที่มีส่วนในการสร้าง โดยบุญกุศลนั้นจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีผู้มากราบไหว้ สักการบูชาเท่ากับจำนวนคน และจำนวนครั้ง

    .พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน .สิงห์บุรี เคยแสดงธรรมไว้ว่า การที่ผู้สร้างพระพุทธรูปเกิดศรัทธา จนถึงสละเงินออกมาสร้างพระพุทธรูปได้ และออกมาทำทานในงานฉลองพระพุทธรูปได้ ชื่อว่าเป็นผู้มี "ความเห็นตรง เห็นถูกแท้" เพราะเป็นบุญของตนเอง ไม่ใช่บุญของใครเลย ผู้สร้างพระพุทธรูป ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ชื่อว่าเป็นผู้เตรียมตัวก่อนตาย



    ผู้ตั้งกระทู้SATU ( ) ::วันที่ลงประกาศ 24-07-2007 19:02:58
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>เขียนโดย นายเจโต </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top>วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 เวลา 01:11 น. </TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

    หลวงพ่อ “ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกันเขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ
    ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอก นี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก.. ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก…หรือไง? แต่ก็ไม่ได้หมายความต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึง พระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรก ก็คุยกันแล้ว ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ทีนี้อย่างคนมีเงินน้อย ๆ ใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ 9 สตางค์ 10 สตางค์ ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด
    คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บาทสองบาท 10 สตางค์ 20 สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่นอย่างนี้ลงบัญชีทองหมด...
    ก็ถามว่า บัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนา หมด”

    ผู้ถาม : “หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน?”
    หลวงพ่อ : “ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้า บัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น”
    ผู้ถาม : “หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ?”
    หลวงพ่อ : “ใช่ ๆ ๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม…เหมือนกันลงบัญชีเล่มเดียวกัน”

    อานิสงค์การสร้างพระพุทธรูป
    ในวัฏฏังคุลีชาดก กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ถวายนมัสการสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลถามว่า “บุรุษสตรีผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อได้สร้างพระพุทธปฏิมากร กระทำรูปเปรียบจำลองพระพุทธองค์ ขึ้นไว้ จะได้ประมาณอานิสงส์เช่นไรพระพุทธเจ้าข้า”

    สมเด็จพระบรมศาสดามีพระพุทธดำรัสว่าดูกร มหาบพิตร ผู้เป็นมหาราชบุรุษหรือสตรีผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยศรัทธา เมื่อได้สร้างพระพุทธปฏิมากรไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธปฏิมากรนั้น บุคคลจะสร้างด้วยดินเหนียว หรือศิลาก็ตามหรือทำด้วยโลหะแลทองแดงก็ตาม จะทำด้วยไม้ แลสังกะสี ดีบุกก็ตาม จะทำด้วยรัตนะ เงินทองก็ตาม ผู้ที่สร้างทำนั้น จักได้อานิสงส์ผลอันมากพ้นที่จะนับประมาณ การที่สร้างพระพุทธปฏิมากร หรือปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปก็ดี เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งยังเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร ครั้งเมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากรซึ่งทำด้วยดินเหนียวหักขาดไปนิ้วหนึ่ง จึงนำเอาดินเหนียวมาปั้นทำให้เป็นบริบูรณ์เป็นปกติ แล้วทำการสักการบูชาด้วยมาลาแลของหอม ครั้งทำลายเบญจขันธ์ ก็ได้เสวยสมบัติในสวรรค์ ได้เป็นบรมกษัตริย์ในมนุษย์โลก สิ้นกาลนาน ภายหลังเมื่อโพธิสมภารพุทธการกธรรมเต็มบริบูรณ์แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า” แล้วทรงเทศนาถึงอดีตชาติของพระองค์ ดังนี้

    ในอดีตกาล มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ กุลภัทรกุมาร ไดัชักชวนพ่อค้าทั้งหลายเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง ระหว่างทางเขาเห็นพระพุทธปฏิมากรทำด้วยดินเหนียวองค์หนึ่ง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอาราม ในป่าชัฏ พระพุทธปฏิมากรนั้น มีนิ้วพระหัตถ์หักไปนิ้วหนึ่ง จึงเอาดินเหนียวมาขยำกับน้ำอ้อย ปั้นนิ้วพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากรปฏิสังขรณ์ให้เต็มบริบูรณ์ทั้ง ๕ นิ้ว แล้วเอาเงิน ๕ กหาปนะ ให้หญิงทาสีคนหนึ่ง คอยปฏิบัติรักษา พระพุทธปฏิมากรนั้น และให้มูลค่าประทีป เทียน แลมาลา ของหอม สำหรับบูชาพระปฏิมากรนั้นด้วย ครั้นบูชาแล้ว จึงตั้งความปรารถนาด้วยว่า “อานิสงค์ที่ข้าพเจ้าได้ปฏิสังขรณ์นิ้วพระหัตถ์นี้ ขึ้นชื่อว่าข้าศึกศัตรูทั้งปวง อย่าให้มีเฉพาะหน้าข้าพเจ้าเลยอนึ่งขอให้ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วยเถิด”

    นับแต่นั้นมา ข้าศึกศัตรูและ ร้ายทั้งหลายทั้งหลาย แม้แต่งู ตะขาบ และแมลงป่อง เป็นต้น ก็มิได้กล้ำกลายกุลภัทรกุมาร เมื่อตายไปได้เกิดเป็นเทพในสวรรค์ พวกอสูรในเทวโลกก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ พากันหนีหมด เมื่อปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี เทพบุตรซึ่งเป็นบริวารพันหนึ่งก็มาเกิดในครรภ์ของภรรยาพวกอำมาตย์ เมื่อประสูติพระกุมารแล้ว ในกาลนั้น ทั้งหลายมีช้าง แลม้าเป็นต้น แม้จะดื้อเพียงใด เมื่อพระราชกุมารยกนิ้วพระหัตถ์ชี้มาในกาลใด เหล่านั้นก็ซวนเซล้มลงพระราชกุมารจึงได้พระนามว่า “วัฏฏังคุลีราชกุมาร”

    เมื่อได้ครองราชย์เป็น “พระเจ้าวัฏฏังคุลีราชโพธิ ” ประกอบด้วยเมตตากรุณา ไม่เคยเบียดเบียนชีวิตใดเลย ตั้งมั่นอยู่ในศีล ในกาลนั้นพระยาร้อยเอ็ดทั้งหลายในชมพูทวีปจึงปรึกษากันจักไปชิงราชสมบัติ ของพระเจ้าวัฏฏังคุลีราช เพราะเห็นว่าพระองค์ไม่ฆ่า เลย คงได้เมืองมาโดยง่ายเมื่อยกทัพมาประชิดเมืองของพระเจ้าวัฏฏังคุลีราช พระองค์เพียงชี้นิ้วพระหัตถ์ พวกพระยาร้อยเอ็ดและเหล่าทหารก็ตกจากยานพาหนะและหกล้มระเนระนาด พระยาร้อยเอ็ดจึงสวามิภักดิ์ยอมเป็นประเทศราชของพระโพธิ สมเด็จพระทศพลจึงตรัสพระคาถาว่า บุคคลผู้สร้างพระพุทธรูปนั้น จะได้เป็นพระอินทร์ ๘ ครั้ง จะได้เป็นสมเด็จบรมจักรพรรดิ ๘๐ ชาติหรือ ๑๐๐ ชาติ จะได้เป็นพระราชานับประมาณไม่ได้ ผลแห่งการปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมพระพุทธรูปนั้น ไม่ควรคิดว่ามีค่าเท่าใดเพราะเป็นอจินไตย ประมาณไม่ได้ บุคคลผู้ก่อสร้างพระพุทธรูปด้วยปีติเลื่อมใสแล้วจะเกิดในสวรรค์สิ้นกาลนาน ผู้ปลูกมหาโพธิ์ นรชนผู้บวชตน นรชนผู้สร้างพระปฏิมากร นรชนสามจำพวกนี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้.....
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>เขียนโดย นายเจโต </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top>วันเสาร์ที่ 10 เมษายน 2010 เวลา 01:11 น. </TD></TR><TR><TD vAlign=top>
    อานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม

    หลวงพ่อ “ช่างมาถามเกี่ยวกับลักษณะองค์ปฐม อาตมาบอกสร้างแบบพระพุทธรูปธรรมดา แต่ต้องอ้วนหน่อยนะ คือมีเนื้อมากหน่อย ไม่ใช่อ้วนพุงพลุ้ยนะ และก็เวลาลงไปสอนกรรมฐาน เมื่อเสร็จแล้วเขาก็คุยกันเขาก็ถามปัญหา ถามไปถามมา เขาถามถึงพระพุทธเจ้าองค์ปฐมว่า ถ้าจะสร้างจะมีอานิสงส์ยังไง ลุงสองลุง นายบัญชี กับลุงพุฒิ ท่านมายืนอยู่นานแล้ว ท่านไม่มีโอกาสคุย เพราะอาตมาขึ้นไปคุยกับพระซะ
    ท่านบอกว่า การสร้างองค์ปฐมนี่ ท่านเปลี่ยนบัญชีใหม่ เอาบัญชีมาให้ดู บอก นี่…บัญชีเล่มนี้ (คือว่าเป็นอีกเล่มหนึ่งจากที่ที่จดธรรมดา) “บัญชีสีทอง” เป็นทองคำล้วนทั้งเล่มเลย ฉันอยากได้บัญชีเอามาขาย ท่านบอก.. ถ้าสร้างองค์ปฐมลงบัญชีเล่มนี้โดยเฉพาะ ก็แสดงว่าคนที่จะสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมได้นี่ ต้องเป็นคนมีบุญมาก…หรือไง? แต่ก็ไม่ได้หมายความต้องเงินมากนะ คือว่าโดยมากเราจะนึกไม่ถึงกันใช่ไหม เรานึกกันถึง พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป แต่ยังไม่เคยนึกถึงองค์ปฐม ส่วนใหญ่ไปนึกถึง พระศรีอาริย์ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ใช่ไหม นี่องค์นี้เป็นองค์แรก ก็คุยกันแล้ว ท่านบอกว่า การสร้างพระพุทธเจ้าองค์ปฐมทำได้ยาก คือว่าเป็นพระพุทธเจ้าต้นพระพุทธเจ้าทั้งหมด ใช่ไหม และการทำบุญเนื่องในการสร้างวิหารก็ดี สถานที่ก็ดี เอาของไปประดับก็ตาม ทีนี้อย่างคนมีเงินน้อย ๆ ใช่ไหม ก็มีสตางค์ไม่มาก เอาสตางค์ 9 สตางค์ 10 สตางค์ ไปใส่แท่น อย่างนี้ลงบัญชีสีทองหมด
    คือไม่หมายความต้องมีเงินมากเสมอไปนะ ที่เขามีน้อยๆ บาทสองบาท 10 สตางค์ 20 สตางค์ พวกนี้เอาไปใส่แท่นอย่างนี้ลงบัญชีทองหมด...
    ก็ถามว่า บัญชีสีทองหมายถึงอะไร ท่านบอก มันหมายถึงกลับไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องโมทนา หมด”

    ผู้ถาม : “หลวงพ่อครับ การหล่อองค์ปฐมด้วยทองคำนี่อานิสงส์จะเหมือนกับหล่อพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน หรือว่าจะแตกต่างกันอย่างไรครับ ถ้าเป็นทองคำเหมือนกัน?”
    หลวงพ่อ : “ก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ว่าต่างกันอยู่นิดหนึ่งที่ไปนิพพานเร็ว ไปนิพพานเร็วมาก เพราะเขาเข้า บัญชีสีทอง ไม่ใช่ตัวทอง บัญชีทั้งเล่มเป็นทอง ลงบัญชีเล่มนั้น”
    ผู้ถาม : “หมายถึงเป็นเจ้าภาพหล่อองค์ปฐมนี่หรือครับ?”
    หลวงพ่อ : “ใช่ ๆ ๆ จะทองคำก็ดี จะเป็นเงินก็ตาม…เหมือนกันลงบัญชีเล่มเดียวกัน”

    อานิสงค์การสร้างพระพุทธรูป
    ในวัฏฏังคุลีชาดก กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล ถวายนมัสการสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วทูลถามว่า “บุรุษสตรีผู้หนึ่งผู้ใด เมื่อได้สร้างพระพุทธปฏิมากร กระทำรูปเปรียบจำลองพระพุทธองค์ ขึ้นไว้ จะได้ประมาณอานิสงส์เช่นไรพระพุทธเจ้าข้า”

    สมเด็จพระบรมศาสดามีพระพุทธดำรัสว่าดูกร มหาบพิตร ผู้เป็นมหาราชบุรุษหรือสตรีผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยศรัทธา เมื่อได้สร้างพระพุทธปฏิมากรไว้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธปฏิมากรนั้น บุคคลจะสร้างด้วยดินเหนียว หรือศิลาก็ตามหรือทำด้วยโลหะแลทองแดงก็ตาม จะทำด้วยไม้ แลสังกะสี ดีบุกก็ตาม จะทำด้วยรัตนะ เงินทองก็ตาม ผู้ที่สร้างทำนั้น จักได้อานิสงส์ผลอันมากพ้นที่จะนับประมาณ การที่สร้างพระพุทธปฏิมากร หรือปฏิสังขรณ์พระพุทธรูปก็ดี เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายซึ่งยังเวียนว่ายในวัฏฏสงสาร ครั้งเมื่อตถาคตเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ได้เห็นนิ้วพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากรซึ่งทำด้วยดินเหนียวหักขาดไปนิ้วหนึ่ง จึงนำเอาดินเหนียวมาปั้นทำให้เป็นบริบูรณ์เป็นปกติ แล้วทำการสักการบูชาด้วยมาลาแลของหอม ครั้งทำลายเบญจขันธ์ ก็ได้เสวยสมบัติในสวรรค์ ได้เป็นบรมกษัตริย์ในมนุษย์โลก สิ้นกาลนาน ภายหลังเมื่อโพธิสมภารพุทธการกธรรมเต็มบริบูรณ์แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า” แล้วทรงเทศนาถึงอดีตชาติของพระองค์ ดังนี้

    ในอดีตกาล มีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ กุลภัทรกุมาร ไดัชักชวนพ่อค้าทั้งหลายเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง ระหว่างทางเขาเห็นพระพุทธปฏิมากรทำด้วยดินเหนียวองค์หนึ่ง ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอาราม ในป่าชัฏ พระพุทธปฏิมากรนั้น มีนิ้วพระหัตถ์หักไปนิ้วหนึ่ง จึงเอาดินเหนียวมาขยำกับน้ำอ้อย ปั้นนิ้วพระหัตถ์พระพุทธปฏิมากรปฏิสังขรณ์ให้เต็มบริบูรณ์ทั้ง ๕ นิ้ว แล้วเอาเงิน ๕ กหาปนะ ให้หญิงทาสีคนหนึ่ง คอยปฏิบัติรักษา พระพุทธปฏิมากรนั้น และให้มูลค่าประทีป เทียน แลมาลา ของหอม สำหรับบูชาพระปฏิมากรนั้นด้วย ครั้นบูชาแล้ว จึงตั้งความปรารถนาด้วยว่า “อานิสงค์ที่ข้าพเจ้าได้ปฏิสังขรณ์นิ้วพระหัตถ์นี้ ขึ้นชื่อว่าข้าศึกศัตรูทั้งปวง อย่าให้มีเฉพาะหน้าข้าพเจ้าเลยอนึ่งขอให้ข้าพเจ้าได้ตรัสรู้เป็นสัพพัญญูพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วยเถิด”

    นับแต่นั้นมา ข้าศึกศัตรูและ ร้ายทั้งหลายทั้งหลาย แม้แต่งู ตะขาบ และแมลงป่อง เป็นต้น ก็มิได้กล้ำกลายกุลภัทรกุมาร เมื่อตายไปได้เกิดเป็นเทพในสวรรค์ พวกอสูรในเทวโลกก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ พากันหนีหมด เมื่อปฏิสนธิในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสี เทพบุตรซึ่งเป็นบริวารพันหนึ่งก็มาเกิดในครรภ์ของภรรยาพวกอำมาตย์ เมื่อประสูติพระกุมารแล้ว ในกาลนั้น ทั้งหลายมีช้าง แลม้าเป็นต้น แม้จะดื้อเพียงใด เมื่อพระราชกุมารยกนิ้วพระหัตถ์ชี้มาในกาลใด เหล่านั้นก็ซวนเซล้มลงพระราชกุมารจึงได้พระนามว่า “วัฏฏังคุลีราชกุมาร”

    เมื่อได้ครองราชย์เป็น “พระเจ้าวัฏฏังคุลีราชโพธิ ” ประกอบด้วยเมตตากรุณา ไม่เคยเบียดเบียนชีวิตใดเลย ตั้งมั่นอยู่ในศีล ในกาลนั้นพระยาร้อยเอ็ดทั้งหลายในชมพูทวีปจึงปรึกษากันจักไปชิงราชสมบัติ ของพระเจ้าวัฏฏังคุลีราช เพราะเห็นว่าพระองค์ไม่ฆ่า เลย คงได้เมืองมาโดยง่ายเมื่อยกทัพมาประชิดเมืองของพระเจ้าวัฏฏังคุลีราช พระองค์เพียงชี้นิ้วพระหัตถ์ พวกพระยาร้อยเอ็ดและเหล่าทหารก็ตกจากยานพาหนะและหกล้มระเนระนาด พระยาร้อยเอ็ดจึงสวามิภักดิ์ยอมเป็นประเทศราชของพระโพธิ สมเด็จพระทศพลจึงตรัสพระคาถาว่า บุคคลผู้สร้างพระพุทธรูปนั้น จะได้เป็นพระอินทร์ ๘ ครั้ง จะได้เป็นสมเด็จบรมจักรพรรดิ ๘๐ ชาติหรือ ๑๐๐ ชาติ จะได้เป็นพระราชานับประมาณไม่ได้ ผลแห่งการปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมพระพุทธรูปนั้น ไม่ควรคิดว่ามีค่าเท่าใดเพราะเป็นอจินไตย ประมาณไม่ได้ บุคคลผู้ก่อสร้างพระพุทธรูปด้วยปีติเลื่อมใสแล้วจะเกิดในสวรรค์สิ้นกาลนาน ผู้ปลูกมหาโพธิ์ นรชนผู้บวชตน นรชนผู้สร้างพระปฏิมากร นรชนสามจำพวกนี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้.....
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    ถาม : จะถามเรื่องการทำบุญ ที่ไปหล่อพระพุทธรูปหรือการสร้างพระพุทธรูป บูรณะซ่อมแซมพระพุทธรูป บุญกุศลเหล่านี้จะได้บุญอย่างไรคะ ?
    ตอบ : พุทธบูชา มหาเตชวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดช มีอำนาจมาก ถ้าหากว่าเกิดเป็นเทวดา พรหม ก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก ถ้าหากว่าเกิดเป็นคน ส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้นำหมู่ชนเขา และการซ่อมพระพุทธรูป ถ้าหากว่าเกิดใหม่รูปร่างหน้าตาจะสวยงามเป็นพิเศษ ถ้าเป็นสุภาพสตรีจะได้เบญจกัลยาณี หรือไม่ก็อาจจะถึงขนาดอิตถีลักษณะ ๖๔ ประการ ที่เป็นพุทธมารดา อันนั้นหายากสุด ๕ อย่างก็ยากเต็มทีแล้วอันนั้นอีก ๖๔ หัวข้อ

    ถาม : แล้วถ้าไม่ได้ซ่อมพระพุทธรูปแต่เป็นฐานพระพุทธรูปล่ะคะ ?
    ตอบ : ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งด้วย

    ถาม : แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะครับ จะได้เบญจกัลยาณีหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : มันหวังสูงนะ ...(หัวเราะ)... ตั้งความปรารถนาไว้แล้วกัน ดีไม่ดีได้เกินนั้น เขาหวังว่าเขาเป็นผู้ชาย เขากลัวว่าจะได้เบญจกัลยาณีไหม? ...(หัวเราะ)... เมื่อกี้ฟังไม่ชัดต้องบอกใหม่

    ถาม : ทีนี้ในทางตรงกันข้ามล่ะเจ้าคะ ถ้าทำลาย ?
    ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ลงนรกมหาอเวจีเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็เคยทำอะไรไว้ มันช่วยซ้ำครบทุกขุมเลย
     
  7. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    เรียนคุณนัฐดรุณ ขอแปลตามนี้นะครับ ผมเองก็ปัญญาแค่งูๆปลาๆ อะไรที่กล่าวไปแล้วให้ความกระจ่างใจแก่คุณ ก็หวังว่าท่านอื่นอีกหลายๆท่านที่เข้ามาอ่่านแล้วก็คงจะเข้าใจได้บ้างพอสมควร สิ่งใดที่ผมไม่รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้ จะไม่พยายามตะแบง หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดก็ขออภัยครับ ทีี่ยกตัวอย่างมานั้นหวังว่าคงได้อ่านจุใจนะครับ อันที่จริงผมเชื่อว่าคุณทราบคำตอบอยู่แล้ว แต่คุณอยากจะให้ท่านอื่นได้ธรรมทานตรงนี้ไปด้วย จึงขอเอาสิ่งที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะได้กล่าวไว้ รวมถึงข้อสงสัยที่อ้างอยู่ในประไตรปิฎกที่หลวงพ่อกล่าวว่าใน "วัฏฏังคุลีชาดก" ผมก็เลยค้นมาให้คุณ ดังนั้นคำตอบอยู่ในนั้นแล้วครับ ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านย่อมทรงพระไตรปิฎกได้มากกว่าผม ซึ่งคงเทียบในเศษธุลีของพวกท่านไม่ได้ ถ้าคุณไม่ถาม ผมคงไ่ม้ค้นมาให้ครับถึงแม้ว่าจะได้ทราบจากท่านเหล่านั้นบ้่างแล้ว
    ทีนี้เรามาวิเคราะห์ตาม หลักกาลามสูตร หรือ หมู่บ้่านกาลามคามกันนะครับ พระพุทธเจ้าท่่านสอนธรรมะเหล่านี้กับคนทุกคน ท่านมิได้สอนเฉพาะพระอรหันต์หรือคนที่ชัดแล้วเท่านั้น (บางคนเข้าใจแบบนั้น ) หากคำสอนท่านสอนเฉพาะท่านที่ชัด คนธรรมดาคงไม่ต้องเอาไปใช้กัน ใช่ไหมครับ นี่ต้องเข้าใจกันอย่างนี้ก่อน ทีนี้เรามาว่ากันถึงเรื่องสร้างพระพุทธรูป มาทำความเข้าใจกันตรงนี้ก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างที่นักตำราทั้งหลายบอกว่าเป็นวัตถุ ธาตุต่างๆนั้น ก็ใช่ไม่ผิด แต่พอก่อสร้างธาตุเหล่านั้นแล้ว เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า อันนี้อานิสงส์ย่อมมี และหากทำลายโทษก็ย่อมมี คุณนัฐดรุณ ดูได้จากพระไตรปิฎกนะครับ อานิสงส์ทีี่พระโพธิสัตว์หรือพุทธมามกะ ได้ก่อสร้างแค่พระเจดีย์ทรายใหญ่เล็กบ้าง เพื่อเป็นพุทธบูชา ดูว่าท่านเหล่านั้นไปเกิดที่ใดบ้าง ได้รัศมีกายอย่างไรบ้าง อานิสงส์มากมาย เพราะเขาสร้่างเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธรูป ที่เราสร้างๆนี่ก็เช่นกัน เราสร้างเพื่อเป็นพุทธบูชา แล้วอานิสงส์จะไม่เกิดมากมายเหมือนสร้างพระพระเจดีย์หรอกหรือ อีกอย่างเราสร้างถวายสงฆ์ เป็นของสงฆ์ ใครทำลายของสงฆ์ ก็อเวจีแน่นอนครับ ผมเข้่าใจตรงกับพระสุปฏิปัณโณทั้งหลาย คุณนัฐดรุณ ว่่าสมเหตุสมผลไหมครับ ตามพระไตรปิฎกและพระที่ดีทั้งหลายท่านเมตตาสอนมา ของสงฆ์ เขาถวายให้สงฆ์ คุณจะเอาไปทำอย่างไรยังไงก็อเวจีมหานรกครับ ไม่มีสิทธิ์ไปเคลื่อนย้าย(บางอย่าง) หรือทำลาย ใครที่พลอยยินดีในการทำลายจะรู้หรือไม่รู้ก็แล้วแต่นะครับ คงต้องตามๆคนทำลายไปในที่ชอบที่ชอบครับ หากจิตสุดท้ายไม่เกาะพระ ผมว่าแค่นี้คุณก็เข้าใจแล้วละครับ แล้วลองคิดดูนะครับ โลกนี้มีพระพุทธเจ้ามาแล้วกี่องค์ แต่ละองค์ก็จะมีท่านประเภทที่มีสัมมาทิฐิได้สร้างพระเพื่อเป็นพุทธบูชามาหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปเป็นวัฐจักร ย่อมต้องมีท่านที่สร้างพระมาก่อนในพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ และก็มีพวกมิจฉาทิฐิ พวกเดียรถีย์พวกนี้ทำลายพระด้วยทิฐิ ของตัวเองเป็นธรรมดา การด่าว่าคนเหล่่านี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่าไปใส่ใจ คบค้าสนทนาธรรมด้วยมากนัก ทิฐิตรงนี้ยากที่จะแก้ ผลกรรมย่อมตกเป็นของเขาผู้กระทำเอง มิได้เกิดแก่เรา
    อันที่จริงพระพุทธองค์ท่านตรัสสั่งมาอย่าไปยุ่งมาก แต่ผมเห็นประโยชน์ที่ผู้ไม่รู้ ได้เข้ามาอ่านทำความเข้าใจ จึงฝ่าฝืนท่านเล็กน้อย อันนี้เป็นตัวอย่างที่เลวนะครับ อย่าเอาอย่าง ท่านสั่งห้ามเพราะโทษย่อมมีอยู่ การตอบกระทู้ แม้ว่าต้องแกล้งใช้คำพูดที่แรงบ้าง ผลที่ทำให้จิตผู้อื่นยินดี และไม่ยินดีเศร้าโศกนั้นมีอยู่ จิตของเราที่ไปติดอยู่ในอารมณ์นั้นมี่อยู่ จิตที่จะทรงอยู่ในฌานจะถอยลง จิตที่จะจับพระนั้นมีไม่มากเท่าที่ควรมี ที่กล่าวเช่นนี้เพราะผมมีประสบการณ์หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยเตือนผมมาก่อนทางสมาธิ ผมติดนิสัยดื้อ(เป็นนิสัยแย่ๆครับ) ผมไม่เชื่อท่านคิดว่าตัวเองเฝือ คิดไปเอง แล้วผลที่ตามมามันมีครับ ท่านบอกว่า"อย่าไปยุ่งกับมัน " ผมก็ตอบท่านไปว่า ผมจะไปช่วยท่าน ท่านตอบผมมาอีกว่า "แล้วเอ็ง จะรู้เอง" และหลังจากนั้น ผมรู้จริงๆว่าแก้ทิฐิท่านไม่ได้ แถมโดนด่า (แต่ไม่รู้ว่าตัวเองโดนด่านะครับ กลับมาบ้านแล้วถึงรู้ว่่าท่านว่าเรา เพราะเจตนาไม่ดีกับท่านเีราไม่มี ถึงไม่รู้ไม่คาดว่าท่านจะว่า)เรื่องมันนานแล้วละครับ หลายปีเต็มที ฟังเป็นนิทานสนุกๆนะครับ อย่าไปเชื่อจริงจัง ยังขำตัวเองกับเพื่อนไม่หาย อยู่ดีๆเสนอหน้าไปให้ท่านว่ากับเพื่อน หลวงพ่อเตือนแล้วไม่ฟัง ตอนนั้นหากหลวงพ่อมีชีวิตอยู่คงโดนตะพดท่าน มีอีกหลายเรื่องครับ ช่วงหลังๆหย่อนปฏิบัติไปทำงานที่กรุงเทพหลายปีก็เลยขาดประสบการณ์ทางจิตสนุกๆไป เริ่มจะพยายามกำจัดความเลวของจิตตังเองอีกก็ปลายปีที่แล้ว ขอเลวน้อยสักนิดถือศีลแปดวันพระไปเรื่อยๆครับ จะพยายามเข้ามาอ่านให้น้อยลงครับ ผมคนรู้น้อยปัญญาน้อยก็ได้แค่นี้ ธรรมะที่ออกไปหากไปเอาบาลีมาพูด บางท่านต้องไปแปลหาคำตอบกันอีก เสียเวลาครับ ผมขอเลียนแบบพระพุทธเจ้าท่านครับ แค่ในเศษละอองเล็กๆของท่าน อะไรที่กล่าวไปแล้วคนทั่วไปเข้าใจง่าย พิจารณาโดยปัญญาแล้วสมเหตุสมผลตามธรรมะ คงไม่ต้องบอกว่า อ้างถึงนายคนนี้ สำนักนี้ เผลอๆอ้างไปถึงคำสอนพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมโน่น กว่าจะอ้างกันจบเป็นร้อยๆอ้าง คงไม่ต้องฟังธรรมะกัน แล้วสมัยที่เราอ้างบางที คนสมัยนี้ไปหาคำตอบไม่ได้แล้วเขาจะเชื่อเราหรือ ใช่ไหมครับ เช่นเดียวกับพระท่านเทศน์ ท่านบอกว่ามาจากพระไตรปิฎก จบครับ ไม่ต้องไปล้วงถึง ที มะ สัง อัง ทุก มาให้ชาวบ้านปวดหัว ท่านเทศน์ธรรมะล้วนๆพอครับ หากอยากรู้อยากศึกษามากกว่านั้น สมัยนี้ง่ายมากครับ กูเกิ้ลเข้าไปหาชื่อที่พระท่านเทศน์ก็เจอแล้วครับ เช่นพระนางประภาวดี พิมพ์ชื่อเข้าไปก็ออกมาแล้วว่ามาจากเล่มไหนๆ
    เจริญในธรรมครับ
     
  8. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    กราบนมัสการครับพระคุณเจ้า
    ครับพระคุณเจ้ากล่าวชอบแล้ว เจตนาดีมีอยู่ แต่โยมคิดอีกหลายอย่างครับ สมมติคนเจตนาดีเห็นปลากำลังจะตาย น้ำแห้งอยู่ แล้วเอาน้ำประปาที่มีคลอรีนไปใส่เพราะคิดว่าใสสะอาด กับเอาน้ำคลำหน่อยๆ ไปใส่ให้ปลา อย่างไหนปลาจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่ากันครับ ปลาที่มีน้ำคลอรีนที่คิดว่่าใสสะอาดต้องตายก่อนใช่ไหมครับ เช่นเดียวกับการรักษาพระสงฆ์ให้คงอยู่ อย่่างน้อยให้สงฆ์ในสมัยปัจจุปัน อยู่กับพุทธศาสนิกชนนานหน่อย เช่นปลาที่อยู่ในน้ำคลำเล็กน้อยพอมีชีวิตที่อยู่นานได้ หากหาน้ำดีไม่ได้ในขณะนั้น โยมยอมที่จะให้น้ำคลำกับปลาดีกว่าที่จะปล่อยให้ปลาตายเร็วโดยน้ำคลอรีน หรืออีกนัยหนึ่งปล่อยให้สงฆ์คงอยู่ดีกว่าให้หมดไป ถึงอย่างไรพระพุทธเจ้าก็อนุญาตในสิกขาบทเล็กน้อย เฉกเช่นคนปรารถนาดี แต่ลืมคิดไปว่า(ใช้ปัญญา) ที่คิดว่าปรารถนาดีนั้นทำร้ายหรือเป็นผลเสียมากกว่าอยู่เฉยๆครับ เหมือนคนโง่ปรารถนาดีครับ(ขออภัย) หากทำแล้วเดือดร้อนก็จะสั่งสมความเดือดร้อนเรื่อยไป หากมิทำจะมิการเป็นดีกว่าหรือครับ สมัยท่านฮิตเลอร์ ท่านกล่าวว่าคนโง่แต่ขยันให้ฆ่าทิ้ง คนฉลาดแต่เกียจคร้่านให้เก็บไว้ ยกมาอุปมาอุปมัยคลายเครียดสนุกๆนะครับ เพราะคนโง่ถึงแม้เจตนาดี หากคิดทำอะไรแล้วทำให้ชนหมู่มากเดือดร้อน ย่อมเป็นที่รังเกียจของหมู่ชน(ผู้ไม่รู้จักวางใจ)ทั้งหลาย กับคนฉลาดไม่ทำอะไรแต่ก็ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร คนประเภทใดจะโดนกำจัดก่อนกันครับ
    โยมไม่มีอคติต่อท่านใด ท่านใดปลูกถั่ว ย่อมได้ถั่ว ปลูกงาย่อมได้งา ทำเหตุใดไว้ย่อมได้รับผลนั้นเอง โยมไม่เดือดร้อนด้วย มีแต่ใจที่วางเฉยและเห็นใจ โยมไม่ต่อต้านพระจับเงิน แต่ก็มิได้ยกย่องพระไม่จับเงินหากพระไม่จับเงินคิดว่าท่านนั้นดีกว่าเพียงเพราะแค่การไม่รับเงิน พระจับเงินหรือไม่จับเงินหากไม่ทำจิตให้ถึงที่สุดก็ย่อมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสังสาร หากตัดห่วงโซ่ปฏิจจสมุปบาทไม่ได้ ยังละสังโยชน์ ๓,๕ และ ๑๐ ไม่ได้ก็คงติดอยู่ในวังวน
    พระคุณเจ้าแจกซีดีเป็นธรรมทานเป็นสิ่งที่ชอบแล้ว โยมโมทนาด้วย หากมีสิ่งใดที่โยมพอจะสงเคราะห์พระคุณเจ้าได้ หรืิอต้องการซีดีธรรมะ ซีดีเปล่า หรือแม้แต่ปัจจัย หากโยมมีเวลาและมีโอกาส ขอพระคุณเจ้า PM มาหาโยมได้ พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมถวายปัจจัยกับพระภิกษุที่รับปัจจัยด้วยตัวเอง ถวายปัจจัยกับไวยยาวัจจกรณ์กับภิกษุที่ไม่รับปัจจัยด้วยตัวเอง ด้วยเหตุให้สงฆ์ตั้งอยู่ได้ ด้วยเหตุเคารพธรรมเนียมแห่งสงฆ์ธรรมยุติและมหานิกาย เพื่อมิให้เกิดความแตกแยกแห่งสงฆ์ฉันใด ก็โยมมิอาจเทียบกับท่านเหล่านั้นได้ แล้วเหตุจะทำกุศลเช่นท่านเหล่า โยมย่อมทำได้เช่นกัน โยมอาจจะสนทนาธรรมผ่านพระคุณเจ้าไปยังท่านที่เข้ามาอ่าน เป็นไปเพื่อแบ่งปันความรู้ มิได้เคยคิดว่าตัวเองดีกว่าหรือฉลาดกว่าท่านอื่น ชาติที่เป็นมิจฉาทิฐิก็มี ชาติที่เป็นสัมมาทิฐิก็มี หากกระทบใจใครก็ขออโหสิกรรมต่อกัน อย่ามีเวรต่อกันและกันและขอให้เข้าใจธรรมะที่เป็นธรรมะอย่างแท้จริงทุกท่านเทอญ
    กราบนมัสการครับ
     
  9. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    ขอเจริญพร

    ที่จริง ถ้าจักถวาย ขอรับเป็นสิ่งของจะดีกว่า

    เพราะถวายเงินมา อาตมาก็ต้องถ่อไปซื้ออีก

    ตอนนี้ต้องการ DVD แบบไม่มีลาย (ขาว สามารถเข้าเครื่อง Print CD ได้)

    ซึ่งจะทำ DVD ประวัติ+คำสอนของหลวงตามหาบัว แจกชุมชนต่าง ๆ

    ซึ่งเป็นการดีที่ใครยังไม่รู้จักหลวงตามหาบัว จะได้รู้จัก

    ใครรู้จักท่านแล้ว จะได้เพิ่มศรัทธา

    บวกคำสอนเข้าไปอีกแผ่นหนึ่ง จะได้เข้าถึงธรรมกันบ้าง

    หรือยังเข้าไม่ถึง ได้เกษมสำราญในธรรมบ้าง

    หากไม่เกษม ไม่สำราญในธรรม ให้สงบ รำงับบ้าง

    ได้แนวทางที่ถูก ที่ชอบ ที่ดี

    ตอนนี้เราอาศัยเป็นอาคันตุกะวัดอ้อมน้อย
    (ต.อ้อมน้อย อ.กระทุ่มแบน สมุทรสาคร 74130
    จ่าหน้ากล่องพัสดุ พระชิษณุพงศ์ ปสนฺโน)

    ที่จริงบวชที่พิษณุโลก บ้านเกิดของโยมแม่

    ชื่ออภิญญาบุตรนี้ คือ บุตรของนางอภิญญา ผู้เป็นมารดาของเรา

    มิได้มีความหมายอย่างอื่น

    ซึ่งที่พิษณุโลก มหาวิทยลัยสงฆ์พุทธชินราช อยู่ไกลจากวัดที่พักมาก ๆ

    ค่ารถมอเตอร์ไซค์วิน+ค่ารถไฟ+ค่ารถประจำทาง ไม่ไหว

    เลยต้องมาอาศัยเรียนแถว ๆ นี้ ซึ่งพระผู้ใหญ่เขาบอกให้ไปเรียนดีกว่า

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  10. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘
    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค๘.

    เจตนาสูตรที่ ๑


    [๑๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
    อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ
    และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
    เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
    เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี
    เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติ ชราและมรณะ
    โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส จึงมีต่อไป
    ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
    สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
    เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
    เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี
    เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติชราและมรณะ
    โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมีต่อไป
    ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

    [๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
    เมื่อไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี

    เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญขึ้นแล้ว
    ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงไม่มี

    เมื่อความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปไม่มี
    ชาติชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสต่อไปจึงดับ
    ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ


    จบ สูตรที่ ๘

    ถ้าโยมเจ้าของกระทู้ไปตำหนิ ติเตียน ดุว่า ด่า กล่าวร้าย
    กับภิกษุที่ไม่จงใจ ไม่ดำริ ไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด
    ผลที่เกิด มันจะดีหรือไม่ดี ก็ไปครุ่นคิดกันเอาเองนะ
     
  11. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    อ้าว...ขัดแย้งกับสัพพัญญุตญาณ ปฏิเสธเวสารัชชญาณของพระพุทธเจ้า แล้วยังยกของพระพุทธเจ้ามาอีก จะ ว่าพาลไหมนี่ และถ้าว่ากล่าวหาว่าปฏิเสธเวสารัชชญาณตรงไหน ก็ใคร่ควรญดูว่าตรงไหน เดี๋ยวจะ งง เหมือนที่เคยว่าประทุษร้ายภิกษุอื่นอีก ถ้าไม่รู้จริงๆก็ย้อนไปศึกษาเทียบเคียงเรื่อง พระอริฏฐะเล่ม ๑๘ หน้า ๒๗๙
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/
    ผู้เอาเปลือกตมทิ้งใส่ศาสนา ที่หน้า ๓๐๗ และ ๓๐๘
    ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องค่อยทำความเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจอีกก็เป็นอันไม่เข้าใจนั่นแหล่ะ

    และ ที่ตำหนิมาตั้งแต่ต้นนี้ คือการกระทำอันทุจริตในความเป็นพระ ไม่ได้ตำหนิผู้ปฏิบัติอย่างถูกต้องชอบธรรม ชอบด้วยวินัย ตำหนิผู้เอาเปลือกตม โคลนตมทิ้งใส่ในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ตำหนิผู้รักษาพุทธศาสนาให้ใสสะอาด และ ที่ว่ายุยงให้สงฆ์แตกกันนั้นตรวจการกระทำดีแล้วหรือ จึงกล่าวหาเช่นนั้น ยุให้แตกจริงหรือ?
    แค่ข้าราชการทุจริตในหน้าที่ทำให้ประชาชนก็น่ารังเกียจพออยู่แล้ว
    นี่พระมาทุจริตคดโกงในความเป็นสมณะ จึงน่ารังเกียจหนักกว่าข้าราชการทุจริตเสียอีก
    ความน่ารังเกียจจึงทวีคูณไปกันใหญ่ พระทุจริตศีลจึงเป็นที่น่ารังเกียจไม่ควรเคารพนอบน้อบ บ๊าย บ๊าย
    ทำไมจึงกล้าพูด ...
    เล่ม ๓๔ หน้า ๘๗
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/

    และ ตนเองก็ไม่ได้ดีเด่ วิเศษ เลิศประเสริฐอะไรนะครับ เป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ได้เรียนรู้ และยึดถือคำสอนของพระพุทธเจ้าตามสมควรแก่ผู้ยังอยู่ในเพศที่ต้อยต่ำคนหนึ่ง ความโอหัง ความเป็นพาลยังมีอยู่ครับ จริงๆไม่ได้พูดเล่นหรือแดกดัน ยอมรับตามความเป็นจริงครับ ก็จะปรับปรุงแก้ไขอยู่ครับเพราะพึ่งมาเจอข้ออันน่าสลดอีกที่หนึ่ง ไม่ใช่อันที่ยกมานี่ ก็เลยต้องปรับปรุงแก้ไข
    ตนเองยังได้ชื่อว่าพาลอยู่
    เล่ม 26 หน้าที่ 92 บรรทัดที่ 3 อ่านไปเรื่อยๆจะเจอที่ยอมรับอยู่ครับ
    http://palungjit.org/tripitaka/index.php
    http://www.dhammahome.com/front/tipitaka/

    -------------------------------------------------

    ที่ คุณนาถดรุณ (ไม่รู้พิมพ์ชื่อถูกหรือเปล่าถ้าไม่ถูกก็ขออภัยนะครับ) บอกว่าไม่เข้าข้อกำหนดอันนั้นถูกแล้วครับ จึงไม่ได้ตอบเพราะไม่เข้าข้อกำหนด และ เฉพาะที่คั่นอันนี้ที่คุยกัยคุณนาถดรุณโดยตรงก็ไม่ได้คุยข้อธรรมกับคุณนาถ ดรุณก็เลยไม่เข้ากับข้อที่เป็นโทษครับ จึงคุยได้ทั่วๆไปครับ.
    -------------------------------------------------

    บุญจากการเปิดธรรมวินัย จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษากิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
     
  12. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    แม้ในตอนนี้ อาจจะยังไม่เห็น
    แต่ในอนาคต อันไกล
    สงฆ์จะแตกแยกกันเพราะทิฏฐิ นี่แหล่ะ

    ส่วนใครปฏิบัติดี ก็อนุโมทนา ยินดีด้วย
    ส่วนใครปฏิบัติแย่ ไม่ขอยุ่ง ไม่ข้องเกี่ยวด้วย

    "แต่การทำสังฆกรรม หรือความสามัคคีของสงฆ์" ต้องมาก่อน

    จริงอยู่ ถ้าเธอจะเห็นแค่ใกล้ ๆ ไม่ได้มองไปไกล ๆ

    "อย่าคิดอะไรตื้น ๆ ง่าย ๆ ใกล้ ๆ"

    กรุณา "คิดให้ลึกซึ้ง และรอบคอบจริง ๆ มองให้ไกล"

    ใครจะทุจริต ใครจะซื่อสัตย์ ไม่ได้ทำให้มรรค ผล กุศล ผล บุญ ของใครเสื่อม

    เขาทำ เขาก็เสื่อมของเขา

    "เพราะการปฏิบัติเป็นเรื่องเฉพาะตน"

    ใครทำใครได้ ใครไม่ทำก็ไม่ได้
    ใครทำดี ได้ดี ใครทำชั่ว ได้ชั่ว

    "แต่ไม่ว่าจะปฏิบัติดี ปฏิบัติไม่ดี ยังไงก็ต้องทำสังฆกรรมร่วมกัน"

    แล้วให้ลองคิดตรึกตรองตามดู

    ถ้าภิกษุหนึ่ง อวดตน อ้างตนว่าวิเศษ บริสุทธ์กว่าภิกษุอื่น
    สั่งสม พอกพูน เพิ่มให้มากซึ่งมานะ
    แล้วหาพวก แบ่งแยกพรรคพวกออกจากกลุ่มสงฆ์
    ปฏิเสธที่จะทำสังฆกรรมร่วมกับภิกษุอื่น
    ถึงแม้ว่าเขาจะปฏิบัติไม่ดี และเราปฏิบัติดีแล้ว
    แต่การไปแบ่งแยก ไปแยกกันออก ไปแตกความสามัคคี มันไม่ดี

    เวลาที่เราบอกหรือแนะนำพระใหม่ ผู้บวชใหม่
    เราสอนเขาว่า "พึงดูแต่ตนเอง อย่ามัวไปดูผู้อื่น"
    "ผู้อื่นทำดี หรือทำชั่วแค่ไหน ไม่ได้ทำให้เราเสื่อมลง หรือเจริญขึ้น
    นอกจากเราจะทำตัวของเราเอง"


    ถ้าบวชเข้ามาแล้วเอาแต่มามองว่าใครจะทำผิด ใครจะทำดี
    "โดยไม่มองตนเองเลย"

    หรือชอบเอาตนเองไปยกเปรียบผู้อื่น
    ไปแบ่งแยกกับผู้อื่น

    "หรือเธอเองคิดหรือว่าเรื่องราวแบบนี้จักไม่เกิดขึ้น?"

    เราไม่ได้พูดเลื่อนลอยหรอก เราบวชเข้ามาได้เห็นอะไรเยอะแยะ
    ไม่อยากพูด พูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์

    และที่เราพูดมามันก็เคยเห็น เคยเกิดมาแล้ว
    ไม่เช่นนั้นเราไม่พูดออกมาซี้ซั้วหรอก

    ขอเจริญพร
     
  13. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    ขอเพิ่มเติมอีกนิด

    ถ้าพบพฤติกรรมพระที่ทุจริตจริง ๆ ให้แจ้งความดำเนินคดี
    และนำเหตุการณ์มาเล่าเป็นอุทาหรณ์ หรือเตือนภัย จะดีกว่า
    ดีกว่าการประกาศทิฏฐิเช่นนี้

    และให้เข้าใจอีกส่วนหนึ่ง
    ปัจจุบัน ภัยภายนอกที่พระพุทธศาสนาถูกเบียดเบียนจากผู้คลั่งศาสนาของศาสนาอื่น
    ที่นับถือศาสนาแบบผิด ๆ แล้วคิดทำลายศาสนาอื่น
    เป็นภัยมากพออยู่แล้ว
    อย่าไปเพิ่มภัยภายในให้พุทธศาสนา
    ถ้าเราเบียดเบียนกันเอง ศาสนาจะแย่ลง และเสื่อมลงอย่างเร็วแน่ ๆ

    ใครทำดี ให้สนับสนุน ส่งเสริม
    ใครทำชั่ว ให้แจ้งความดำเนินคดีซะ แล้วแสดงเป็นอุทาหรณ์

    มิใช่ว่าพระที่จับเงินทุกรูปเป็นพระชั่วทั้งหมด
    เหมือนในเว็ปบางเว็ปที่ประกาศกร้าวเช่นนั้น

    อีกหลาย ๆ เรื่องที่เข้าไปอ่านแล้ว รู้สึกไม่ดี
    ประการแรก สมัยนี้ ยุคเสรีทางความคิด
    แต่กลับให้โพสถามได้อย่างเดียว แล้วรอฟังคำตอบ
    ไม่สามารถให้สมาชิกสนทนากันเพื่อเปิดรับความคิดเห็น
    แบบนี้คอมมิวนิสต์หรือประชาธิปไตยกัน?
    บางกระดานก็อ่านได้อย่างเดียว
    "ให้ฟังทิฏฐิของพวกตนเท่านั้น"

    ยกตัวอย่างสักหน่อย
    ที่เคยเข้าไปอ่าน
    ว่าเรื่องพระเอาเด็กมาอุปการะ (เด็กวัด)
    จริง ๆ ต้องไปถามพ่อ-แม่ ของเด็กว่าเอามาทิ้งไว้ที่วัดเป็นภาระของพระทำไม
    ไม่ใช่ไปว่า ติเตียนพระ พระที่ไหนอยากจะเอาภาระมาไว้บ้าง
    เห็นมีแต่โยมที่เอาภาระมาให้พระกัน
    (เรื่องทำนองนี้ มีอีกเยอะแยะในสังคมวัด)

    ต้องเปิดกว้างและมองไกล + มองลึกซึ้งกันสักหน่อยนะ
    ไม่ใช่ตอบแบบทิฏฐิตน
    ต้องรู้จักรับฟังทิฏฐิของผู้อื่นบ้าง

    อย่างในสมัยพุทธกาล
    พระอรหันต์และท่านพระอานนท์ คุยกันเรื่องป่า ว่าป่าจะงามเพราะอะไร
    แต่ละท่านก็มีความคิดเห็นเฉพาะ ไม่เหมือนกัน
    สุดท้ายไปทูลถามพระพุทธองค์
    พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงความเห็นอีกอย่างหนึ่ง
    "แต่ไม่มีใครมาทะเลาะกันเพราะทิฏฐิ"
    (หวังว่าคงเคยอ่านพระสูตรนี้)

    ขนาดพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลยังโดนปรับอาบัติ
    แล้วพระสมัยนี้จะรอดหรือ? ที่จะไม่ต้องอาบัติเนี่ย?

    แต่ถ้าพระที่ทุจริต โกง ฉ้อฉล จริง ๆ แล้ว
    แจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะดีกว่า
    แล้วนำมาเล่าให้ฟังเพื่อเตือนภัย

    ขอให้เจริญในธรรม
     
  14. แฟรงค์MBT

    แฟรงค์MBT สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +0
    น้ำเต็มแก้ว คาดว่าเติมไปก็ล้นน่ะครับ คงไม่เข้าใจหรอกครับ
     
  15. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    ผู้ที่เคยพลาดตำหนิมาแล้วรู้ว่าพลาดแล้วแก้ไขข้าพเจ้ารู้เรื่องแล้ว ให้อภัยแล้วตั้งแต่ที่รู้เรื่องว่าแก้ไขคืน จะบอกให้ทราบนานแล้ว แต่ก็ไม่ได้บอกสักทีจึงแจ้งให้ทราบ ณ ที่นี้ครับ เพราะจะไปแล้ว

    เรื่องพี่โจนี่ก็ไม่ได้ตอบแล้วหล่ะ เพราะได้อยู่ที่การตอบของผู้คนอื่นๆแล้ว
    ส่วนที่ไม่ได้เปิดเผยตนก็ไม่ได้ตอบเหมือนกัน
    อย่างพระเขียนกระทู้หาเงินนั่นก็น่าตอบอยู่ แต่ตอบไม่ได้เลยว่ามันผิดตั้งแต่ต้นที่พระมีทรัพย์สิน จนท้ายสุดพระเอาธรรมมาค้าขายไง ไม่สามารถตอบได้เลย
    เหมือนกับพระกล้อมแกล้มบอกเอาของทำบุญ มีเรื่องการเทียบเคียงหาลาภในกระทู้นี้ มันเลยไม่ได้ตอบไป เพราะไม่ได้เปิดเผยตัว
    ที่เรื่องเผาทองเหลืองแล้วตกอเวจีก็เหมือนกันมันน่าตอบมากเลย
    แต่ตอบไม่ได้ว่าทำพระพุทธเจ้าห้อเลือดแล้วต้องตกนรก แต่ไม่ได้ไม่ได้มีบอกว่าทำทองเหลืองห้อเลือดแล้วตกนรก ผู้ที่เข้าใจว่าทองเหลืองคือตัวแทนพระพุทธเจ้าจึงว่าต้องตกนรกไง ก็เลยไม่ได้ตอบ
    และถ้าว่าอันนี้ตอบ ไม่ใช่ เพราะถ้าเปิดเผยมาจะตอบไปลักษณะแบบนี้ แต่นี่ไม่เปิดเผยกันมันก็เลยไม่ได้ตอบแบบนี้ออกไป

    เรื่องไวยาวัจจกรแห่งชาตินั้น เป็นหน้าที่โดยตรง โดยมีหน้าที่เป็นผู้มาทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่ภิกษุสงฆ์ให้สมควรแก่ภิกษุสงฆ์ตามธรรมวินัย จึงควรรู้ว่าหน้าที่ของนี้สำคัญต่อพุทธศาสนาอย่างไรและอยู่ในอำนาจใครและใครส่งมาอุปถัมภ์ภิกษุสามเณรในประเทศนี้ ฉะนั้นจะหวังให้พุทธบริษัท ๔เป็นปึกแผ่น แต่พุทธบริษัท๔ยังไม่ปึกแผ่นกับธรรมและวินัย ประเทศไทยจึงไม่เป็นปึกแผ่น เพราะทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำอย่างไรได้อย่างนั้น สังคมไหนทำกันอย่างไร กรรมนั้นก็กลับมาสู่ที่สังคมนั้น



    ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็นพระพุทธเจ้า นี่เป็นความจริงที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในตัวข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าเคยกราบเคยไหว้เคยยำเกรง เหล่าวัตถุที่ทำเป็นรูปขึ้นมาแล้วพากันเรียกกันว่าพุทธรูป นี่เป็นความจริงที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในตัวข้าพเจ้า

    เมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้คำของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงรู้จักว่าวัตถุเหล่านั้นไม่ใช่ตัวแทนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ควรกราบควรไหว้ควรยำเกรง ข้าพเจ้าจึงทิ้งสิ่งเหล่านั้นทั้งทุบทิ้งก็มี แล้วมายอมรับเคารพประพฤติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าตามสมควรแก่ตน นี่เป็นความจริงที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในตัวข้าพเจ้า
    ด้วยความจริงเหล่านี้ขอผู้อ่านพึงได้รู้ตามความเป็นจริงเรื่องรูปพุทธะกับความรู้พุทธะเถิด



    ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในผู้ประพฤติตนตามตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่หาได้เลื่อมใสในสมณะทุศีลนี่เป็นความเลื่อมใสที่มีอยู่จริงในตัวข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าได้เจอสมณะแห่งพุทธะสมณโคดมที่ทุศีลแล้วชักชวนให้ข้าพเจ้าไปเห็นดีด้วยว่าการทำผิดนั้นมันจำเป็นต้องทำ ซึ่งข้าพเจ้าไม่ยินดีด้วยและไม่น้อมตามไปด้วย นี่เป็นความจริงที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในตัวข้าพเจ้า
    ด้วยความจริงเหล่านี้ ขอผู้อ่านพึงได้เห็นตามความเป็นจริงว่าสิ่งใดเป็นโทษจริงสิ่งใดเป็นประโยชน์จริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเถิด

    -----------------------------------------------------------------------
    บุญแห่งความรู้ที่ตนเองพิจารณาใคร่ควรญและผู้ศึกษาพิจารณาใคร่ควรญธรรมวินัยนี้ จงสำเร็จแก่ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร เชื้อโรคข้า ครอบครัวข้า ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษากิจการที่ข้าเกี่ยวข้อง ชาวทิพย์ที่ดูแลรักษาพุทธศาสนา และผู้ต้องการตลอดไป
     
  16. THODSAPOL SETTAKASIKIT

    THODSAPOL SETTAKASIKIT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +101
    เรื่องการตรวจสอบ ในผู้ที่กินข้าวอิ่มใหม่ๆ แล้วเข้าใจว่าตนจะไม่หิวข้าวอีกเลยตลอดชีวิตนี้ นี่ก็ไม่ได้บอกอีก
    สำหรับคนที่ยังลังเลสงสัย ว่าเราเป็นพระอริยะหรือเปล่า มันต้องไปดูตอนหิวไม่ใช่มาดูอิ่ม เล่นฌาณข่มกิเลสจนอยู่แล้วมาเข้าใจว่าตัดนั้นได้แล้ว ตัดนี่ได้แล้ว

    ผู้ที่เข้าใจว่าตนมีความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในศีล แล้วมันสงสัยว่าเราเป็นนั้นเป็นี่หรือเปล่า วิธีการดูคร่าวๆคือ เกิดความยากลำบากขึ้น เกิดความทุกข์ระทมขึ้น หรือ เมื่อเกิดอันตรายกับชีวิตขึ้น แล้วมันหวั่นไหวหรือเปล่า มีเซติเตียนไหมว่าโอโห่ รักษาศีลก็ว่าดี ทำกรรมฐานมาอย่างดี แล้วมันทำไมต้องมาเจออย่างนี้หว่า ก็ไหนว่าทำดีได้ดีไง ไม่เห็นว่ามันจะได้ดีเลย หรืออะไรก็ตามที่มันเกิดคลอนแคลนขึ้นมา ในความรู้สึกลึกๆ ของคนๆนั้นเป็นยังไง ต้องตรวจของใครของมัน และมันจะตอบขึ้นที่ของใครของมัน ความจริงคือความจริง



    ลาก่อนท่านทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  17. แฟรงค์MBT

    แฟรงค์MBT สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2011
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +0
    ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา คถาคตท่านได้กล่าวไว้


    แต่ถ้าบุคคลใดยึดติดจนเรียกได้ว่าคลั่งศานา ทั้งๆที่ตนเองก็ปฏิบัติไม่ได้ ไปนรกแน่นอน
     
  18. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    เรียนถาม จขกท. ว่า ถ้ามีคนมาถวายพัดลมซึ่งมีมูลค่า 1000 บาท แก่นักบวช 1 เครื่อง แล้วนักบวชผู้นั้นรับไว้ใช้ ช่วยคลายร้อนแล้ว อย่างนี้จะผิดพระธรรมวินัยไหม
     
  19. roentgen

    roentgen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +67
    เราไปชักชวนเธอตรงไหนไม่ทราบ ขอให้พูดดี ๆ หน่อยนะ
    เธอมีจิตไว้ให้เจตสิกอาศัยเกิด-ดับเล่น ๆ งั้นหรือ?
    คำพูดที่พูดเอง เออเอาเอง

    "เราชี้แจงตามจริงในปัจจุบัน"
    เราถามว่าเธอเคยมาเป็นพระแล้วต้องเรียน ต้องศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์มั้ย?
    เคยเข้ามาอยู่ในสังคมพระจริง ๆ มั้ย?
    ดีแต่ไปอยู่ห่าง ๆ แล้วเที่ยวเพ่งโทษ
    โดยที่ตนเองก็ "ไม่ได้ทำให้อะไรมันดีขึ้นเลย"
    แล้วยังมากล่าวอ้างว่าเราไปชักชวนให้มาเห็นด้วย
    เพราะความจริงที่ปรากฏในปัจจุบันมันเป็นเช่นนี้
    เราจึงกล่าวกะเธอเช่นนี้
    แม้เราเองก็บอกอยู่ว่า "รู้ว่าผิด แต่มันทำไม่ได้"
    เคยเข้าไปดูพระ-เณร ที่เรียนบ้างมั้ย? เคยเอาตัวเองเข้าไปหาบ้างมั้ย?
    หรือว่าดีแต่อยู่ห่าง ๆ แล้วเพ่งโทษ?
    ดีแต่ไปว่า ไปกล่าวร้าย
    ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงในสังคมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
    "เราอยู่กับความจริง ไม่ใช่เพ้อฝันจินตนาการ"

    ใครทำให้มันถูกต้องได้ ก็ดี เราอนุโมทนา
    แต่ "ทำไม่ได้ ไม่ไปทำให้ ไม่ไปช่วย แล้วยังเที่ยวด่าผู้อื่น"
    แบบนี้มันแย่มากกว่าอีก

    เราว่า ถ้าเราจักตกนรกเพราะจับต้องเงินทองจริง ๆ
    แต่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าถึงทางพ้นทุกข์
    หรืออย่างน้อยได้ไปสู่สุขคติ ยังภพภูมิที่สูงขึ้นไปกว่านี้ได้
    เราก็ยินดี เรายอมเป็นบันใดให้ผู้อื่นก้าวข้ามไปก็ยังได้

    แล้วที่เราออกมาเตือนเธอนี่ เพราะเราไม่อยากให้เธอต้องกระทำการมากไปกว่านี้
    แค่นี้ยังไม่เห็นความขัดแย้งอีกหรือ?
    หรือว่ามานะมันสูงมากจนลดไม่ได้?
    สะสมไว้ทำไม มานะเนี่ย

    ใครทำชั่วจริง กฏแห่งกรรมไม่มีการลดหย่อนโทษหรอก
    ใครทำดีได้จริง กฏแห่งกรรมก็ย่อมสนองกรรมดีให้อย่างเที่ยงธรรมเอง

    ถ้ามีเวลาก็ลองเข้าไปบวชเรียนดูบ้างนะ
    ลองไปอยู่ "ที่ ๆ ไม่มีใครรู้จักเธอ" ดูนะ
    แล้วเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ดู
    อย่างที่พระ-เณร จากต่างจังหวัดย้ายเข้ามาเรียนกัน
    แล้วลองประสบเหตุการณ์ด้วยตัวเองดูบ้างนะ
    เผื่อจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้นบ้าง
    ไม่ใช่เข้าใจไปเองอยู่คนเดียว ฝ่ายเดียว
    แล้วใครพูดอะไรก็ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ
    แล้วก็คิดเอง เออเอง พูดเอาเองแบบนี้

    ที่เราอธิบายให้เธอมันคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ
    ไม่ใช่นิยายเพ้อฝันถึงสิ่งในอุดมคติ
    แค่ในกระทู้เดียว ยังมีความขัดแย้งมากมายเกิดขึ้น
    "แล้วในสังคมใหญ่ ๆ จะเป็นอย่างไร?"
    เห็นภาพตรงนี้แล้วสะท้อนไปถึงสิ่งที่ใหญ่กว่าไม่ออกอีกหรือ?
    อะไรมันปิดกั้นไว้ อะไรมันปิดบังจิตใจไว้?

    แม้บางสิ่งบางอย่าง ในสังคมพระเองก็ดี ในสังคมภายนอกก็ดี
    แม้เราไม่เห็นด้วย
    แต่หากสิ่งที่เราจะแสดงออกไป
    ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความแตกแยก
    เราไม่กระทำหรอก

    เคยอ่าน อภัยราชกุมารสูตรหรือไม่?

    "<small>จาก อภัยราชกุมารสูตร (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๓)

    </small> ตถาคต... ย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง วาจาที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น
    ตถาคตย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
    อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น"


    วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน คือ

    1. วาจานั้นย่อมเป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล
    2. เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ
    3. เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน
    4. เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์
    5. เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต
    อีกนัยหนึ่ง
    วาจาอันประกอบด้วยองค์ ๔ เป็น วาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต เป็นวาจาไม่มีโทษ และวิญญูชนไม่พึงติเตียน

    1. ย่อมกล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต ไม่กล่าวคำที่เป็นทุพภาษิต
    2. ย่อมกล่าวคำที่เป็นธรรม ไม่กล่าวคำที่ไม่เป็นธรรม
    3. ย่อมกล่าวแต่คำอันเป็นที่รัก ไม่กล่าวคำอันไม่เป็นที่รัก
    4. ย่อมกล่าวแต่คำสัตย์ ไม่กล่าวคำเหลาะแหละ
    แม้สิ่งที่เธอกล่าว มันจริง ตามตำรา ตามคำสอนก็จริง
    แต่ว่ากล่าวออกไปแล้วจะเกิดความขัดแย้ง แตกแยกได้
    เรามาเพื่อให้เธอหยุดกระทำเสีย

    ในเว็ปพลังจิตนี้ เราไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านหรอก
    เผอิญมีคนบอกให้เข้ามาดู แล้วเราเห็นถึงโทษในอนาคต มากกว่าประโยชน์
    เราจึงได้มาเตือนเธอเสีย

    หากการกระทำของเราไร้ผล เปล่าประโยชน์
    ก็ถือซะว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นก็แล้วกัน
    เราทำถึงที่สุดแล้ว
    สุดท้ายมานะแห่งเธอ ไม่ลดละลง

    ด้วยเหตุนี้แล เราจักวางเฉยเสีย
    กรรมของเธอ และกรรมของฉัน ต่างไม่เกี่ยวข้องกัน
    กรรมของใครของมัน
    ก่อไว้ ย่อมรับผลเอง

    ขอเจริญพร
     
  20. bhothisata

    bhothisata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    394
    ค่าพลัง:
    +5,182
    พบเปรตสมัยใหม่
    ประสบการณ์ส่วนหนึ่งของ หลวงปู่แหวน ขณะอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว มีดังนี้ :-
    ในระหว่างพรรษา วันหนึ่งประมาณ ๕ โมงเย็น หลวงปู่แหวน กำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียงดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา จึงเหลียวไปดู กลายเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่ง เอาเท้าเกาะอยู่บนกิ่งไม้ห้อยหัวลงมา มีผมยาวรุงรัง เสียงร้องโหยหวน
    หลวงปู่บอกว่า ท่านไม่ได้นึกกลัว และไม่ได้ให้ความสนใจ ยังคงเดินจงกรมต่อไป
    เมื่อร่างนั้นเห็นว่า หลวงปู่ไม่สนใจ ก็หนีหายไป
    สองสามวันต่อมา ก็มาปรากฏอีก แต่หลวงปู่ก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ หลังจากนั้นจึงมาปรากฏตัวให้เห็นทุกเย็น แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้หลวงปู่ คงแสดงอาการเหมือนเดิมทุกครั้ง
    วันหนึ่ง หลวงปู่ได้กำหนดจิตถามไปว่า ที่มานั้นเขาต้องการอะไร ทีแรกเขาทำเฉยเหมือนไม่เข้าใจ หลวงปู่จึงกำหนดจิตถามอีก เขาจึงบอกว่า ต้องการมาขอส่วนบุญ
    หลวงปู่ จึงกำหนดจิตถามต่อไปว่า เขาเคยทำกรรมอะไรมา จึงต้องมาทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้
    ร่างนั้นได้เล่าถึงบุพกรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนอยู่ที่เชียงดาวนี้ มีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียน ไปขอพรและขอคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำ
    เขาทำอย่างนี้ทุกครั้ง และก็แคล้วคลาดตลอดมา
    อยู่มาวันหนึ่ง เขาไปขอพรพระพุทธรูป แล้วออกไปปล้นเช่นเคย บังเอิญเจ้าของบ้านรู้ตัวก่อน จึงเตรียมต่อสู้ เขาถูกเจ้าของบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส จึงหนีตายเอาตัวรอดมาได้
    ด้วยความโมโหว่า พระไม่คุ้มครอง เขาจึงกลับไปที่ถ้ำแล้วเอาขวานทุบเศียรพระพุทธรูป จนคอหัก ขณะเดียวกัน ก็ยังคุมแค้นอยู่ ตั้งใจว่า บาดแผลหายแล้ว จะกลับไปแก้แค้นเจ้าของบ้านให้ได้
    เผอิญบาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงต้องตายในเวลาต่อมา วิญญาณเขาจึงต้องมาเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เชียงดาวแห่งนี้ จึงได้พยายามมาขอส่วนบุญ เพื่อให้พระท่านช่วยแผ่ให้ จะได้คลายความทุกข์ทรมานลงไปได้บ้าง
    หลวงปู่แหวนท่านเล่าว่า บุพกรรมของเปรตตนนั้น หนักมากเหลือเกิน ท่านได้รวบรวมจิต อุทิศบุญกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมา ร่างนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีก แต่จะได้รับบุญกุศลเพียงใดขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง
    หลวงปู่บอกว่า เปรตตนนั้นเป็นเปรตสมัยใหม่ เพราะใช้คำแทนตัวเขาเองว่า "ผม" แต่เปรตตนอื่นๆ ที่หลวงปู่เคยพบมา จะใช้คำแทนตนว่า "เรา" หรือ "ข้าพเจ้า" จึงนับว่าเปรตตนนี้ เป็นเปรตสมัยใหม่



    ที่มาหลวงปู่แหวนพบเปรตที่ทำลายพระพุทธรูป - เรื่องเล่าสยองขวัญ - Hi5 Thai ! - Powered by Discuz!
    <!-- google_ad_section_end -->
    __________________
    <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว
    "จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย
    ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์
    จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง เป็นมรรค
    ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ
    "
    หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
     

แชร์หน้านี้

Loading...