.เรื่องเล่า พลัง ในวัตถุมงคล หลวงปู่หมุน หลวงปู่สรวง คุณยายชีนวล แสงทอง หลวงปู่นวยถ้ำวัวแดง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย kwich, 20 พฤษภาคม 2019.

  1. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    07638DF9-5648-4884-A8BB-FEFEE9C006E3.jpeg

    #เล่าเรื่องพระดี


    #หลวงพ่อทวีนิ้วเพชรที่ต้องตัดนิ้วยกครูก่อนเรียนและต้องบวชตลอดชีวิตห้ามสึก


    หากไม่เห็นกับตาคงไม่เชื่อว่าท่านเสกทองแผ่นและเหรียญทองสมัยรัชกาลที่๕ เข้าไปที่หน้าผากต่อหน้าต่อตาแถมอยากถ่ายรูปหรือคลิปไว้ท่านก็ไม่ว่า ผมพบท่านครั้งแรกประมาณปีพ.ศ.๒๕๕๑ เคยนิมนต์ท่านมาทำบุญบ้านที่เกิดความวุ่นวาย หลังจากท่านมาที่บ้านแล้วเหตุการณ์ร้ายต่างๆภายในบ้านก็คลี่คลาย

    หลวงพ่อทวี ศรีพยูรหรือพระครูนิสัยสรการ วัดวังยาง ต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ คือพระเหนือโลกองค์นี้และน่าจะเป็นองค์เดียวที่เป่าทองคำเป็นแผ่น(ไม่ใช่แผ่นทองคำเปลวแต่เป็นแผ่นทองคำแท้จากร้านทองที่รีดเป็นแผ่นเล็กประมาณ๑×๑ซม.)และที่ยิ่งกว่านั้นท่านเป่าเหรียญทองร.๕ต่อมาเหรียญร.๕หายากท่านก็เปลี่ยนเป็นเหรียญร.๙แทน

    ท่านเป็นคนอยุธยาพ่อแม่อยากให้บวชเมื่อครบอายุบวช ท่านไม่อยากบวชเลยหนีออกจากบ้านในชุดนาคนุ่งขาวห่มขาวเลยต้องออกปฏิบัติธรรมเรียนวิชากับครูบาอาจารย์ไปเรื่อยๆไม่มีจุดหมายปลายทาง ต่อมาได้มาพบหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่วัดท่าซุงซึ่งกำลังสนทนาธรรมกับศิษย์อยู่ หลวงพ่อทวีไม่กล้าเข้าไปหายืนหยุดนิ่ง หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านแหวกลูกศิษย์แล้วยื่นมือออกมาพูดว่า..พ่อรอคอยมานานแล้ว๘กัปป์ ลูกพ่อมาแล้วบวชให้พ่อนะ..รับปากกับพ่อนะ หลวงพ่อทวีจึงบวชแล้วเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำอยู่๓พรรษาแล้วออกธุดงค์ในป่าหลายปีทางแถบเขาใหญ่ ไปอิสาน ขึ้นเหนือ เจอครูบาอาจารย์ดีที่ไหนขอเรียนวิชาหมด ต่อมาพบพระธุดงค์รูปหนึ่งดูหน้าแล้วไม่แก่ผิวพรรณมีสง่าราศีผิดกับคนทั่วไปในป่าลึก(ผู้เขียนคิดว่าเป็นหลวงปู่โลกอุดรในร่างพระหนุ่มที่มีรูปที่บ้านปู่โทน)ท่านชวนหลวงพ่อทวีให้ร่วมธุดงค์กับท่าน หลวงพ่อทวีก็เดินธุดงค์เข้าไปในดงลึกปฏิบัติธรรมกับพระองค์นี้ซึ่งไม่พูดไม่จานั่งปฏิบัติธรรมอย่างเดียวจิตท่านนิ่งมาก
    จนวันหนึ่งพระธุดงค์องค์นี้บอกว่าจะสอน"วิชาเป่าทองเข้าตัวให้" ต่อไปจะได้ใช้ประโยชน์สร้างวัดสร้างสาธารณะกุศลแต่วิชานี้เมื่อเรียนแล้วจะต้องห้ามสึกและต้องอยู่ในเพศพรหมจรรย์ตลอดชีวิต และต้องตัดนิ้วชี้มือขวา ๑ข้อ เพื่อถวายครูจึงจะเรียนวิชาได้ หลวงพ่อทวีตอบว่าเอาครับพระคุณเจ้า..เช้าอีกวันตรงกับวันพฤหัสท่านจึงเก็บดอกหญ้าในป่าและนำธูปเทียนที่ติดย่ามมาถวายขึ้นครูหลังฉันท์เพลเสร็จซึ่งแปลกมากวันนั้นได้มีชาวบ้านป่าไม่รู้มาจากไหนนำข้าวปล่าวใส่ใบตองมาถวายข้าวเปล่านี้หอมมาก..ฉันท์ไปนิดเดียวก็รู้สึกอิ่ม พระธุดงค์รูปนั้นก็นำใบไม้มาหั่นแล้วมวนเป็นบุหรี่ให้หลวงพ่อทวีสูบ พอสูบเข้าไปรู้สึกมึนงง (ตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นกัญชา)จากนั้นพระธุงค์องค์นั้นก็จับมือหลวงพ่อทวีวางบนตอไม้แล้วสับลงไปที่ปลายนิ้วชี้ทันที นิ้วยังไม่ขาดดีท่านก็จับนิ้วหั่นต่อจนขาดแล้วบอกว่า..นี่เป็นค่ายกครูต่อไปนิ้วนี้จะเป็นนิ้วเพชรทำอะไรก็จะสำเร็จทุกอย่างแต่ห้ามเอามือนี้ไป"จับกระจู๋"เด็ดขาด หลังจากนั้นท่านก็เอาหญ้าแถวนั้นมาเคี้ยวพ่นใส่และพอกห้ามเลือดแล้วฉีกปลายจีวรของท่านมาพันแผลแล้วสั่งว่าพรุ่งนี้กลับเข้าเมืองได้ เช้าขึ้นหลวงพ่อทวีก็ไม่พบพระธุดงค์องค์นี้แล้วพบแต่คาถาที่ท่านเขียนทิ้งไว้บนตอไม้ ๑๖ ตัว จากนั้นท่านก็เดินทางกลับวัดท่าซุงกราบ"หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" เมื่อพบหลวงพ่อฤาษี..ท่านยกนิ้วให้ดู..หลวงพ่อฤาษีบอก..ได้ของดีแล้ว..ต่อมาท่านกราบลาหลวงพ่อฤาษี..กลับมาเยี่ยมพ่อแม่และจำพรรษาที่วัดแถวอยุธยาแล้วเริ่มฝึกวิชาอย่างจริงจัง ครั้งแรกก็ลองกับไม้เสาเรือนก่อนแรกๆก็ใช้แผ่นทองเปลวทีละแผ่นแล้วเพิ่มขึ้นเรื่อยจนเสกเข้าครั้งละหลายสิบแผ่น ต่อมาก็ลองกับแผ่นทองคำแท้ที่รีดจากร้านทองก็เข้าอีก เลยลองหาเหรียญร.๕มาเสกก็เข้าหมด

    ต่อมาท่านได้เบื่อหน่ายที่วันๆต้องเป่าทองให้ผู้คนที่มาขอให้ท่านเป่าทองทุกวัน ท่านจึงออกธุดงค์ไปกราบขอกรรมฐานกับหลวงพ่อสมชาย วัดเขาสุกิม จันทรบุรีกว่า๑๐พรรษา แล้วมาอยู่รับใช้หลวงปู่ฟัก วัดเขาวงค์พระจันทร์อีก ๓ พรรษา แล้วมาอยู่ที่วัดวังยาง ต.ตะเคียนเลื่อน อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ได้สร้างวัดจนเจริญรุ่งเรือง จนเป็นที่รู้จักในนาม "หลวงพ่อทวีนิ้วเพชร"จนวันหนึ่ง หลวงพ่อจ้อย วัดศรีอุทุมพร พระผู้อภิญญาสมาบัติได้เดินทางมาที่วัดวังยาง หลวงพ่อจ้อยบอกมาเยี่ยมเยียนทั้งๆที่ท่านทั้งสองไม่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาก่อน หลวงพ่อทวีได้กราบเรียนถามหลวงพ่อจ้อยว่า..หลวงปู่ครับผมจะสร้างโบสถ์สำเร็จไหม..หลวงพ่อจ้อยบอกสำเร็จซิลูกบารมีเยอะขนาดนี้

    วันหนึ่งจะมืดแล้วได้มีรถเบนซ์ขับเข้ามาจอดหน้ากุฏิท่านและถือรูปลงมา คนที่เดินมาคือ"หลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม" หลวงพ่อทวี เห็นเป็นหลวงพ่อพูลก็คุกเข่าลงกราบ หลวงพ่อพูล พูดว่าที่มาวันนี้จะมาขอเนียนวิชากดทองเข้าตัว พอได้ยินเท่านั้นหลวงพ่อทวีก็พูดกับหลวงพ่อพูล ว่า หลวงปู่อายุ๘๐ปีแล้วผมอายุ๕๐ปีเองจะสอนให้หลวงปู่ที่ผมนับถือเป็นครูบาอาจารย์อย่างไร หลวงปู่พูลก็บอกว่า"ฉันไม่ถืออยากได้วิชากดทอง"ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้วพึงเห็นตัวจริงวันนี้..สดใสมากด้วยพลังจิตล้วนๆเลย อาตมาสัมผัสได้..หลวงพ่อทวีก็บอกหลวงปู่ครับผมไม่กล้าสอนให้หลวงปู่ ทั้งหลวงปู่ก็พรรษามากกว่าผมเยอะทั้งยังมีบารมีสูงกว่าผมมาก..ผมขอกดทองถวายหลวงปู่แล้วกัน จากนั้นหลวงพ่อทวีก็ทำพิธีกดทองลงถวายหลวงปู่พูลที่หน้าผาก

    หลวงปู่พูลท่านจับกระแสได้ท่านพูดว่า..แหมเย็นไปทั่วทั้งตัวเลย สว่างหมด พึ่งเห็นของจริงวันนี้แหละพลังจิตและบารมีสูงมาก ถ้าไม่ลองกับตัวเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้ได้ของดีจริงแล้ว แล้วหลวงพ่อทวีก็เล่าถึงว่าจะต้องรับสัจจะบวชตลอดชีวิตและที่สำคัญต้องตัดปลายนิ้วมือถวายครู๑ข้อ หลวงพ่อพูลก็กล่าวว่า อ๋อ..เป็นอย่างนี้นี่เอง..ต้องตัดนิ้วฉันไม่เอาแล้ว จากนั้นหลวงพ่อพูลได้มอบรูปของท่านให้หลวงพ่อทวีก่อนกลับ

    และที่สำคัญในกุฏิหลวงพ่อทวี ผมได้เห็นรูปของหลวงปู่ครูบาเที่ยงธรรม วัดเวฬุวัน อ.พยุห์ จ.ศรีษะเกษ
    พระเหนือโลกที่ผมสนิทกับท่านที่สุดพอๆกับหลวงปู่เรืองเขาสามยอด ลพบุรี เรียนถามหลวงพ่อทวี ว่ารู้จักหลวงปู่เที่ยงธรรมหรือครับ..หลวงพ่อทวี.ตอบว่ารู้จักดีท่านเป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเรา..

    หลวงพ่อทวี ท่านบอกว่าเกิดมาคุ้มค่าแล้วสร้างวัดและเสนาสนะตามวัดต่างๆมากมาย สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา โรงเรียน และถนนเข้ามาวัดสำเร็จเสร็จสิ้นลงยอมเสียนิ้ว๑ข้อสร้างถาวรวัตถุในพุทธศาสนานับพันล้าน เฉพาะศูนย์ศิลปาชีพบางไทรของ พระบรมราชินีนาถก็นับร้อยล้านแล้วและที่อื่นอีกนับไม่ถ้วนเราไม่ห่วงอะไรแล้ว ถึงฉันตายก็ไม่ตกนรกแล้วและจะขอตายที่วัดวังยางแห่งนี้ สถูปของพ่อแม่ฉันอยู่ที่นี่แล้ว ฉันไม่ไปไหนแล้ว..สรีระของท่านได้ทำการประชุมเพลิงที่วัดวังยาง ในวันที่ ๓๑ พ.ค.๒๕๖๑ เหลือคุณงามความดีให้จดจำว่า..ชื่อนี้คือ..หลวงพ่อทวีนิ้วเพชร..สาธุ

    *ขอขอบคุณรูปและข้อมูลจากลูกศิษย์ใกล้ชิดท่าน
    อ.พรหมณ์ ธรรมพร สายเขาอ้อ ดอนเมือง มาณ.ที่นี้*

    #กดแชร์กดไลด์ร่วมเผยแพร่เป็นวิทยาทานขอขอบคุณมาณ_ที่นี้ ติดตามเรื่องราวมหัศจรรย์ที่นี้กับภักดีภูริ..
     
  2. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    ED81D682-8E38-4D55-8FF7-CC7E965599FA.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี

    #หลวงปู่โต๊ะพลังจิตแรงกล้าเป็นวสีเข้าออกตามใจนึก#

    หากกล่าวว่าสุดยอดบูรพาจารย์ยุคหลังกึ่งพุทธกาลเท่าที่รู้จักว่าพลังจิตแก่กล้าล้ำลึกเข้าออกสมาธิตามใจนึกเท่าที่ผมรู้ก็มีหลวงปู่สีวัดถ้ำเขาบุญนาค..หลวงปู่ทิมวัดละหารไร่..หลวงพ่อกวยวัดโฆษิตาราม..หลวงหมุนวัดบ้านจานและหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี(อาจมีมากกว่านี้)แต่เท่าที่ผมมีข้อมูลจากครูครูบาอาจารย์ที่ผมรู้จักท่านเล่าขานกันมาโดยเฉพาะหลวงปู่โต๊ะ..

    ผู้เล่าเรื่องนี้ก็เป็นสุดยอดบูรพาจารย์องค์หนึ่งในยุคนั้น"หลวงพ่อแพวัดพิกุลทอง"

    เรื่องมีอยู่ว่าในพิธีพุทธาภิเษกพระปิดตาวัดโคนอนปี2514หลวงปู่โต๊ะท่านเป็นแม่งาน..พิธีใหญ่มาก9วัน9คืนโดยนิมนต์สุดยอดเกจิอาจารย์ในยุคนั้นถึง33องค์มาหมุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันพุทธาภิเษกทุกวัน

    #แต่หลวงปู่โต๊ะจะมาพุทธาภิเษกด้วยตัวท่านเองทุกวันจนครบ9วัน..หลวงพ่อแพวัดพิกุลทองก็ได้มาร่วมพุทธาภิเษกด้วย..
    หลวงปู่โต๊ะท่านจะมาทุกวันเมื่อมาถึงท่านจะเข้าที่นั่งพุทธาภิเษกเข้าฌานสมาบัตินิ่งตัวตรงหลังไม่งอจนเสร็จพิธีบางวันท่านจะนั่งนานมากมีวันหนึ่งท่านนั่งตั้งแต่สองทุ่มถึงแปดโมงเช้าของอีกวันเลยทีเดียว..

    หลวงพ่อแพท่านตามดูจิตหลวงปู่โต๊ะท่านเล่าว่าพอหลวงปู่โต๊ะเข้าสมาธิก็เห็นมือที่จับสายสิญญ์มีแสงสี"ม่วง"จากมือหลวงปู่วิ่งไปตามสายสิญญ์สู่กองวัตถุมงคลเป็นรัศมีสีม่วงสว่างไสวจนหลวงปู่โต๊ะคลายจิตจากสมาธิแสงจึงจะหายไป

    หลวงพ่อแพเล่าว่าพลังจิตหลวงปู่โต๊ะองค์เดียวเท่ากับเกจิอาจารย์องค์อื่นรวมกันสิบองค์ดังนั้นเวลามีพิธีพุทธาภิเษกของหลวงพ่อแพทุกครั้งท่านจะนิมนต์หลวงปู่โต๊ะมาด้วยทุกครั้ง(พลังจิตสีม่วงหมายถึงพลังงานที่ประกอบด้วยบุญญฤทธิและอิทธิฤทธิถ้าเป็นพลังจิตสีขาวซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพระสายปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นจะเป็นบุญญฤทธิ)

    หลังเสร็จพิธีหลวงปู่โต๊ะได้เล่าในฟังว่าตอนท่านไปพุทธาภิเษกพระที่วัดระฆังท่านเห็นสมเด็จพุฒาจารย์โต..พรหมรังสีมาปลุกเสกพระด้วยตัวท่านเอง(น่าจะเป็นพิธีพระสมเด็จวัดระฆังร้อยปี๒๕๑๕)ในพิธีของวัดโคนอนครั้งนี้ก็เช่นกันท่านเล่าว่าเจ้าของ(หลวงปู่เอี่ยมวัดหนัง)มาเสกพระของท่านเองจนเสร็จพิธี..หลวงปู่โต๊ะจึงบอกให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดบูชาพระชุดนี้เก็บไว้ท่านบอกว่า#พระปิดตาชุดนี้ศักดิสิทธิมาก

    # หลังเสร็จพิธีพระถูกแบ่งเป็นสองส่วนๆแรกให้คนทำบุญส่วนหนึ่งนำไปบรรจุกรุที่วัดโคนอนไว้ต่อมามีคนร้ายลักลอบทุบเจดีย์ที่บรรจุพระไว้คนร้ายได้พระไปจำนวนหนึ่งไม่มากทางวัดจึงนำพระที่เหลือออกให้เช่าบูชาเป็นถุงๆละร้อยองค์ซึ่งไม่นานพระก็ถูกเช่าบูชาไปจนหมดและด้วยเหตุที่พระชุดนี้มีจำนวนมากถึง๘๔,๐๐๐องค์ซึ่งในขณะนั้นพระอยู่ในมือของนักสะสมเก็งกำไรพระจึงไม่ค่อยมีออกมาหมุนเวียนและถูกลืมลืนไปจากความทรงจำว่า#พระชุดนี้ถือเป็นสุดยอดของพิธีพุทธาภิเษกหลังยุค๒๕๐๐#ที่มีสุดยอดเกจิอาจารย์ยุคนั้นปลุกเสกและที่สำคัญพระชุดนี้หลวงปู่โต๊ะท่านเป็นเจ้าพิธีเองและปลุกเสกเองถึง๙วัน๙คืนผู้ที่นำไปบูชาก็เกิดประสพการณ์ในเรื่องโชคลาภโภคทรัพย์มีโชคลาภเนืองๆเป็นที่รู้กันว่า..พุทธคุณของพระชุดนี้ไม่ต่างจากพระปิดตาเงินล้าน..ที่มีราคาจนคนธรรมดาจับต้องไม่ได้..

    พระปิดตาวัดโคนอนปี๒๕๑๔หลวงปู่โต๊ะปลุกเสก๙วัน๙คืน ในปัจจุปันสภาพเศรษฐกิจฝืดเคืองพระปิดตาชุดนี้กลับกลายเป็นที่ต้องการนำไปอธิฐานบูชาให้เกิดศิริมงคลเสริมดวงด้านโชคลาภโภคทรัพย์ราคาจึงขยับไปมากขึ้นแต่ก็ยังไม่แพงมากหากเทียบกับพระใหม่ที่สร้างในยุคหลังที่ไม่สามารถจัดพิธีใหญ่ขนาดนี้ได้หากท่านใดพบเจอพระปิดตาชุดนี่ขอบอกเลยว่าพระปิดตาชุดนี้คือ #พระหลักร้อยพุทธคุณหลักล้านแท้จริง#
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2019
  3. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    65924829_2378126002465702_7848142281977626624_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง จากเพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ

    #สิ่งมหัศจรรย์ในวันเวียนเทียน๒


    "...ในหนังสือหลวงภูมินาถสนิท มหาดเล็กคนโปรดของล้นเกล้าฯ ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ได้เล่าว่า เป็นความมหัศจรรย์เรื่องหนึ่ง กล่าวคือ ครั้งหนึ่งก่อนวันวิสาขบูชา พ.ศ ๒๔๘๙ ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าจากหลวงพ่อว่า

    พิธีเวียนเทียนวิสาขบูชาปีนี้ หลวงพ่อได้อารธนาอัญเชิญเสด็จพระพุทธองค์ให้เสด็จปฏิหาริย์มาทรงเป็นประธานในพิธีด้วย...ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตรวม ๓๐๐ คน เดินผ่านไปจวนจะครบ ๓ รอบ

    อุบาสกผู้หนึ่งเอะอะขึ้นว่า เขาได้เห็นพระพุทธนิมิตรปาฏิหาริย์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้า และชี้ให้ทุกคนดูขณะนั้น...ในปีต่อๆมา พอใกล้วันวิสาขบูชา หนังสือพิมพ์จะลงรูปหลวงพ่อและเล่าถึงการเวียนเทียนสมโภช และการปรากฏของพระพุทธเจ้าบนท้องฟ้า..."

    -------------------------------------------------------------------

    วันมาฆบูชาของปีพ.ศ ๒๔๘๙ หลังจากเสร็จพิธีเวียนเทียนแล้ว หลวงพ่อแสดงพระธรรมเทศนาเสร็จแล้วอาจารย์ตรีธา ได้ออกจากโรงงานเดินไปที่ลานพระอุโบสถเหมือนที่เคยทำ สาธุชนส่วนใหญ่กำลังแยกย้ายกันกลับที่พัก

    ท่านได้ปฏิบัติอย่างเคยคือเข้าไปฟังคนที่เขายังจับกลุ่มสนทนากันก็ทราบว่า มีคนเห็นพระนิพพานกันหลายคน บางคนก็เล่าว่า ได้เห็นองค์พระพร้อมกับชี้ให้ผู้อื่นดูว่ายังปรากฏอยู่ในท้องฟ้าโน่นแน่ะ ท่านก็แหงนมองตาม แต่ขณะนั้นท่านบอกว่าท่านไม่เห็นพระนิพพานด้วยตาเนื้อเหมือนอย่างที่คนผู้นั้นบอก

    ✒อาจารย์ตรีธาก็คิดน้อยใจว่า เราก็ได้วิชชาธรรมกายรับใช้หลวงพ่ออยู่ตั้งหลายปี เหตุใดเราจึงไม่ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตาเนื้อ(หมายถึงลืมตาแล้วเห็นรูปภายนอก) กับเขาบ้าง ในขณะที่เดินคิดน้อยอกน้อยใจตัวเองนั้น ท่านก็แหงนมองไปทางทิศเหนือหน้าวัด

    ทันใดนั้น เหมือนมีมือวิเศษมารูดม่านสีขาวใหญ่ให้เปิดออกกว้าง องค์พระพุทธไสยาสน์สีขาวใสก็ปรากฏอยู่ในม่านตาของอาจารย์ตรีธา แรกๆเห็นเพียงครึ่งองค์ ท่านได้เพ่งมองให้แน่ใจ เพ่งเท่าไหร่ ภาพนั้นก็ยิ่งปรากฏชัดเจน ไม่ใช่ปุยเมฆแน่นอน องค์พระสีนวลขาว เหมือนสีพระจันทร์ที่เพิ่งเยี่ยมท้องฟ้ายามพลบกระจ่างอยู่ในม่านตา

    อาจารย์ตรีธา ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าท่านจะมีโอกาสช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไปตลอดชีวิต ก็ขอให้ท่านได้เห็นองค์พระพุทธไสยาสน์ปรากฏแก่สายตาตลอดทั้งองค์ด้วยเถิด

    ✏เมื่อท่านยิ่งเพ่งมองก็ปรากฏให้เห็นตลอดทั้งองค์ จนเห็นชัดเจนว่าองค์พระพุทธไสยาสน์ที่ประทับนอนนั้นยาวมาก ยาวประมาณ 20 วา พระองค์ประทับนอนให้อาจารย์ตรีธาได้เข้าเฝ้าด้วยตาเนื้ออยู่เป็นเวลานานพอควร แล้วค่อยๆเสด็จเลือนลับหายไป

    อาจารย์ตรีธา ท่านย้ำกับผู้เขียนว่าท่านจำได้ถึงความปลาบปลื้มปีติจนไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความโสมนัสไว้ได้ ผิวกายทั่วทุกขุมขนลุกชั้นด้วยความปราโมทย์ แม้ขณะที่เล่าให้ผู้เขียนฟังเวลาได้ล่วงเลยไปหลายสิบปีท่านก็ยังมีอาการเช่นนี้

    ท่านรำพึงว่าลูกได้เห็นแล้วหลวงพ่อเจ้าขา ลูกได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยตาเนื้อแล้ว ลูกได้เข้าเฝ้าทั้งตาในและตาเนื้อแล้ว

    ✏ที่หลวงพ่อสอนให้ผู้ได้ธรรมกายช่วยกันใช้สมาธิเปิดพระนิพพานนั้น ลูกได้พิสูจน์ด้วยตาเนื้อแล้วว่าวิชชาของหลวงพ่อทำได้จริง แล้วท่านก็ทรุดกายลงกราบพระพุทธองค์บนพื้นหินนั้น ชี้ให้เพื่อนที่เดินไปด้วยกันได้ดูด้วย แต่เพื่อนบอกว่าไม่เห็นอะไรเลยนอกจากท้องฟ้าใส การที่จะมองเห็นสิ่งที่เหนือชั้นนั้น ต้องขึ้นกับพลังจิตของแต่ละคน

    การที่อาจารย์ตรีธา ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระพุทธองค์เช่นนั้น เพราะในช่วงนั้นท่านกำลังตัดสินใจระหว่างการลาศีลจากแม่ชี ลาหลวงพ่อ แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านบางบ่อ หรือว่าจะบวชชีต่อไปอยู่วัดปากน้ำ รับใช้หลวงพ่อทำวิชชาในโรงงาน

    การเห็นพระนิพพานด้วยตาเนื้อเท่ากับเบื้องบนได้ตัดสินชี้ชะตาชีวิตของท่านให้ท่านอยู่วัดปากน้ำต่อไป ดังนั้นเมื่อท่านได้ลาศีลจากแม่ชีแล้วจึงอยู่ช่วยหลวงพ่อทำวิชาต่อไปจนถึงทุกวันนี้

    **หนังสือตรีธาเล่าเรื่องหลวงพ่อวัดปากน้ำ ฉบับสมโภชพระเจดีย์มหารัชมงคล
    ***Post by เพจบารมีธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำ
     
  4. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    65882330_2291475634441212_7671987655780859904_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง

    อภินิหารหลวงพ่อกลั่น ธัมมโชติ วัดพระญาติการาม


    จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    ระดับนี้แล้ว!! ไม่ต้องใช้เรือ..เพียงแค่ผูกตาแล้วเดินตาม "หลวงพ่อกลั่น ธัมมโชติ"พาขบวนพระธุดงค์ข้ามแม่น้ำสะโตงอันกว้างใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์!!


    สุดยอดพระมหาเถราจารย์ในตำนานแห่งเมืองกรุงเก่าอีกรูปหนึ่ง ผู้ทรงฌานอภิญญาแก่กล้า มีวิทยาคมเข้มขลัง มากด้วยบุญญาภินิหารในฌานภาวนา เหรียญรุ่นแรกของท่าน ปี ๒๔๖๙ ได้รับการจัดอยู่ในเบญจภาคีพระเหรียญ ราคาค่านิยมหลายล้านบาทเลยทีเดียว

    ย้อนอดีตในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ราวพ.ศ.๒๓๙๐ ปีมะแม ณ ต.อรัญญิก อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ครอบครัวหนึ่งซึ่งมีฐานะยากจนได้ให้กำเนิดเด็กชายผู้มีบุญมาเกิด นามว่า “กลั่น” ซึ่งอนาคตกาลท่านคือพระเถระผู้เลื่องชื่อในบุญญา ภินิหาร และเมตตาจิตที่มีต่อสรรพสัตว์นานัปการ

    “หลวงพ่อกลั่น ธัมมโชติ” ในสมัยเด็กท่านต้องทำงานเลี้ยงพ่อแม่ด้วยการรับจ้างทั่วไป และต้องต่อสู้เพียงลำพังคนเดียว ทำให้ท่านเป็นคนเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งมีอายุได้ ๒๗ ปี ท่านจึงตัดสินใจบวชเป็นพระ ณ วัดประดู่ทรงธรรม ได้ฉายาว่า “ธัมมโชติ”



    เมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ทรงธรรม หลวงพ่อกลั่นได้ศึกษาพระธรรมวินัย และเรียนรู้เรื่องวิชาคาถาอาคม ตลอดจนสมุนไพร การแพทย์แผนโบราณจนแตกฉาน เมื่อฝึกฝนวิชาต่างๆ จนเชี่ยว ชาญแล้ว จึงได้ออกธุดงค์ไปทั่วป่าเขาลำเนาไพรเผชิญสัตว์ร้ายนานาชนิด คราวหนึ่งท่านได้เดินทางกลับจากออกธุดงค์ มาถึงวัดพระญาติการามในเวลาค่ำ ท่านพิจารณาว่า วัดนี้เงียบสงบดี เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม สามารถเจริญสมาธิและปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้สะดวก ท่านจึงได้ปักกลดพักอยู่ที่บริเวณวัดในคืนนั้น

    “วัดพระญาติการาม” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีราว พ.ศ.๒๑๐๐ เดิมเรียกว่า “วัดพบญาติ” ซึ่งมีตำนานเล่าว่า สมัยกรุงศรีอยุธยามีหมู่บ้านด้านทิศตะวันออกของเมืองหมู่บ้านหนึ่ง ที่ลูกสาวชาวบ้านของที่นี่มักมีผิวพรรณดี หน้าตาสวยงาม ความเรื่องนี้ทราบไปถึงพระกรรณของพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์จึงเสด็จประพาสมายังหมู่บ้านแห่งนี้ พร้อมด้วยข้าราชบริพาร และทรงพอพระทัยบุตรสาวของชาวบ้านคนหนึ่ง จึงเอ่ยพระโอษฐ์ขอรับอุปถัมภ์ค้ำชูหญิงสาวคนนั้น ผู้เป็นพ่อแม่ก็ยินดียกบุตรสาวถวายให้

    เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสด็จฯ กลับพระราชวังแล้ว จึงมอบให้อำมาตย์นำคานหามมารับหญิงสาวคนนั้น เมื่อนางจะไปก็ได้สั่งบอกพ่อและแม่ไม่ให้มีความห่วงใย อีกไม่นานจะกลับมาเยี่ยม ขณะขบวนคานหามเดินทางกลับ พวกญาติของหญิงสาวได้ไปดักรอพบเพื่อล่ำลา นางจึงได้พบญาติตรงบริเวณนั้น จนเมื่อนางได้ตำแหน่งมเหสีแล้ว จึงเสด็จฯ มาเยี่ยมญาติในหมู่บ้านเดิม และโปรดฯ ให้สร้างวัดขึ้นตรงบริเวณที่ญาติๆ มารอดักพบ ตั้งชื่อว่า “วัดพบญาติ” ต่อมาจึงกลายเป็น “วัดพระญาติการาม”

    หลวงพ่อกลั่น เมื่อธุดงค์มาพักที่วัดพระญาติฯ รุ่งเช้าก็มีชาวบ้านมาตักบาตร ขณะรับบาตรอยู่หลวงพ่อกลั่นมองไปทั่วบริเวณวัด เห็นมีสุนัข แมว นก กา อาศัยอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งสัตว์พวกนี้คล้ายมารอคอยอาหารด้วยความหิวโหย หลวงพ่อกลั่นเป็นพระที่มีเมตตาจิตสูง ท่านจึงนำข้าวที่ชาวบ้านใส่บาตรให้มาแบ่งโปรยให้ทานสัตว์เหล่านั้นได้กินจน อิ่ม จากนั้นท่านจึงฉันเช้า ท่านปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันเป็นประจำ ทำให้ชาวบ้านที่มาตักบาตรเห็นวัตรปฏิบัติของท่านน่าเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่วัดพระญาติฯ ซึ่งหลวงพ่อกลั่นก็ยินดี เพราะท่านพิจารณาแล้วว่า

    วัดแห่งนี้สงบไม่มีคนพลุกพล่าน มีพระจำพรรษาเพียงไม่กี่รูป บริเวณวัดร่มครึ้ม เป็นป่าสะแก มีต้นไม้ใหญ่เยอะ เหมาะแก่การจำศีลภาวนา ประกอบกับท่านเป็นพระที่ชอบสันโดษ ชอบอยู่อย่างง่ายๆ เล่ากันว่า ท่านไม่ค่อยพิถีพิถันยึดติดกับอะไรมากนัก ในกุฏิของท่านจึงไม่มีสมบัติพัสถานที่มีค่า มีเพียงสื่อผืนหมอนใบ แถมอัฐบริขาร และจีวร ก็มีอยู่ชุดเดียว ซึ่งเก่าคร่ำคร่ามาก

    มีเรื่องเล่าถึงหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา อีกว่า ทุกเช้าหลังจากบิณฑบาตกลับมาแล้ว ท่านจะต้องโปรยข้าวส่วนหนึ่งให้นก กา หมา ไก่ และลิง ที่ออกมาคอย ให้ได้กินจนอิ่มทั่ว ชาวบ้านละแวกวัดจะได้เห็นหลวงพ่อกลั่นเดินอยู่ท่ามกลางฝูงสัตว์อยู่เป็น ประจำทุกวัน

    ชาวบ้านและเณรในวัดจึงพากันสงสัยว่าทำไมสัตว์จึงชอบเดินตามท่าน เมื่อสงสัยจึงมีการทดลอง สอบหาความจริง โดยในวันหนึ่งเมื่อหลวงพ่อกลั่นไม่อยู่ ได้มีพระรูปหนึ่งแอบนำผ้าเหลืองของหลวงพ่อกลั่นมาปลอมเป็นหลวงพ่อทุกอย่าง แล้วทำเป็นเดินขึ้นมาจากเรือคล้ายว่าเพิ่งกลับจากวัด เมื่อเดินผ่านสัตว์ต่างๆ ที่เคยได้ข้าวและอาหารจากหลวงพ่อ สัตว์เหล่านั้นก็เฉยๆ เพราะจำได้ว่าไม่ใช่หลวงพ่อ เป็นเพราะความเมตตาที่แผ่ออกมา สัตว์เหล่านั้นจดจำหลวงพ่อได้เป็นอย่างดี เพราะพวกมันสัมผัสรู้ได้

    หลวงพ่อกลั่นเมื่อได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดพระญาติฯ ทุกๆ เช้าเมื่อออกบิณฑบาต พระสงฆ์ในวัดจะต้องพายเรือไปตามลำน้ำ ซึ่งจะมีชาวบ้านมารอตักบาตรทั้ง 2 ฝั่ง และชาวบ้านจะรู้ว่าเรือลำไหนเป็นของหลวงพ่อกลั่น เพราะจะมีจุดสังเกตคือ เรือของหลวงพ่อจะมีสีดำสนิท ปกคลุมตั้งแต่หัวเรือไปจรดกลางลำเรือ สีดำเหล่านั้นก็คือ “อีกา” นับสิบๆ ตัวที่มาเกาะเรือของหลวงพ่อ แล้วเวลาชาวบ้านลงมาตักบาตรแก่หลวงพ่อ “อีกา” ทั้งฝูงจะบินวนรอบๆ เรือไม่ไปไหน พอชาวบ้านตักบาตรเสร็จมันก็บินกลับมาเกาะเรือเหมือนเดิม ส่วนอาหารที่ชาวบ้านนำมาถวายหลวงพ่อเต็มลำเรือนั้น เหล่าอีกาไม่แตะต้อง

    และพอเรือมาถึงวัด หลวงพ่อจะให้ลูกศิษย์ขนสำรับขึ้นไปก่อน ตัวท่านจะอุ้มบาตรมาทีหลัง และจะมีอีกาอีกฝูงหนึ่งคอยรอรับท่านอยู่หน้าวัด มันจะบินรุมล้อมหน้าล้อมหลังเป็นกลุ่ม แทบไม่เห็นองค์หลวงพ่อ เมื่อได้เวลาฉันหลวงพ่อจะจัดแบ่งอาหารเป็นหมวดหมู่ เตรียมให้อีกา หมา และแมว อีกาฝูงใหญ่จะคอยรอท่าอยู่ห่างๆ พอหลวงพ่อนั่งเรียบร้อย เมื่อเปิดฝาบาตรจะลงมือฉัน อีกาทั้งฝูงก็จะกระโดดไปที่กองอาหารแล้วลงมือจิกกินทันที

    หลวงพ่อกลั่นท่านสื่อภาษาสัตว์กับอีกาเหล่านั้นได้ เพราะบางครั้งที่มันแย่งอาหารจิกตีกัน หลวงพ่อจะพูดด้วยเสียงเบาๆ อีกาก็หยุดตีกันทันทีแล้วค่อยๆ กินอย่างสงบ

    เรื่องราวของหลวงพ่อกลั่น ธัมมโชติ ภิกษุผู้มีความมหัศจรรย์อันประกอบไปด้วยเมตตาธรรม สามารถสื่อภาษาสัตว์ได้เข้าใจ ให้ใครหลายคนได้ประจักษ์หลายต่อหลายเรื่อง เช่นว่า มีอยู่คราวหนึ่งอยู่ในช่วงออกพรรษา ซึ่งพระสงฆ์ตามวัดต่างๆ นิยมออกธุดงค์เพื่อแสวงหาความสงบวิเวก และเพื่อโปรดพุทธบริษัทที่อยู่ในชนบทห่างไกลในถิ่นกันดาร

    หลวงพ่อกลั่นพร้อมด้วยคณะลูกศิษย์ท่านก็ออกธุดงค์เช่นกัน โดยตั้งใจจะไปนมัสการพระเจดีย์ในเมืองพม่า เมื่อคณะของหลวงพ่อรอนแรมเดินทางมาถึงแม่น้ำสะโตง ซึ่งกว้างใหญ่มาก แต่หาเรือแพข้ามฟากไม่ได้ หลวงพ่อกลั่นจึงต้องหาทางข้ามด้วยตัวเอง หลวงพ่อกลั่นจึงสั่งให้พระภิกษุที่ร่วมธุดงค์กับท่านเอาผ้าผูกตาให้หมด แล้ว เกาะจีวรตามท่านเป็นแถวเรียงหนึ่ง มีข้อห้ามคือไม่ให้พูดจากัน

    พอถึงฝั่งแม่น้ำฟากนั้นจึงบอกให้เอาผ้าผูกตาออก และน่าอัศจรรย์ที่พระแต่ละรูปไม่มีใครที่จีวรเปียกน้ำเลย และยังไม่มีใครรู้อีกว่า หลวงพ่อท่านพามาโดยวิธีใด อีกครั้งหนึ่งคือเมื่อคราวที่หลวงพ่อและพระลูกวัดพระญาติฯ รับกิจนิมนต์ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ครั้นใกล้เวลาที่เขานิมนต์ปรากฏว่าฝนตั้งเค้าทำท่าจะตก พระที่เดินทางไปกับหลวงพ่อเตือนให้ท่านรีบไปจะได้ไม่เปียกฝน แต่หลวงพ่อกลับบอกให้พระเหล่านั้นไปก่อนล่วงหน้า ส่วนท่านจะตามไปทีหลัง และพอท่านออกจากวัดฝนก็ตกไล่หลังท่านเรื่อยไปจนถึงบ้านงาน แต่ตัวท่านกลับไม่เปียกฝนเลย

    ยังมีเรื่องเล่าถึงอภินิหารของหลวงพ่อกลั่นกันปากต่อปากว่า ในครั้งหนึ่งเมื่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ที่คลองข้างวัดของท่านมีปลาปักเป้าชุกชุม ลูกศิษย์วัดมาลงอาบน้ำจะถูกปลาปักเป้ากัดบ่อยๆ เดือดร้อนหลวงพ่อต้องหายามารักษา อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อได้สั่งให้เด็กลงเล่นน้ำ เพื่อล่อให้ปลาปักเป้ากัด ปลาปักเป้าก็กัดติดเนื้อเด็กอย่างไม่ปล่อย แต่เด็กที่เป็นเหยื่อล่อปลากลับไม่มีบาดแผลสักคน จากนั้นหลวงพ่อจึงเอาปลาเหล่านั้นใส่ลงไปในถังน้ำ แล้วเอามือจุ่มลงไปในถัง คนอยู่พักเดียวก็เอาปลาไปปล่อยริมคลองหน้าวัดเหมือนเดิม และเป็นที่อัศจรรย์คือตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีเด็กวัดถูกปลาปักเป้ากัดอีกเลย

    หลวงพ่อกลั่นท่านเชี่ยวชาญวิชาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นวิชาฟันดาบหรือ ต่อสู้ด้วยเพลงอาวุธแบบโบราณ และยังมีวิชาด้านอื่นที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์อีกมาก จนบางครั้งมีคนมาขอพบเพื่อลองวิชา ซึ่งหลวงพ่อท่านก็รู้ด้วยญาณของท่านว่า คนคนนี้มาลองดีกับท่าน เพราะอยากรู้ว่าหลวงพ่อกลั่นจะแน่จริง

    เหมือนกิตติมศักดิ์ที่ร่ำลือกันหรือไม่ คราวหนึ่งได้มีนักเลงคนหนึ่งมาขอลองวิชากับหลวงพ่อด้วยปืนยาว หลวงพ่อก็ยินดีให้ทดสอบโดยโยนผ้าให้ยิง นักเลงผู้นั้นก็เหนี่ยวไกปืนยิงไม่ยั้ง แต่สิ่งที่ได้ยินมีเพียงเสียงไกปืนกระทบกับลูกกระสุนเท่านั้น ไม่มีเสียงระเบิดแต่อย่างใด คนลองดีถึงกับตะลึง แปลกใจแล้วพอหันกระบอกปืนยิงขึ้นฟ้า ลูกปืนกลับระเบิดเสียงดังสนั่น หลวงพ่อกลั่นบอกให้นักเลงผู้นั้นลองยิงอีกครั้ง ท่านก็โยนผ้าขึ้นฟ้า พอนักเลงผู้นั้นลั่นกระสุนออกไปก็ได้ยินเสียง “แชะๆ ๆ” เช่นเดิม ลูกปืนไม่ระเบิด นักเลงต่างถิ่นถึงกับก้มกราบหลวงพ่อกลั่นด้วยความศรัทธา และเป็นที่โจษขานกันทั่วอยุธยา

    หลวงพ่อกลั่นท่านยังมีวิชาลูกเบา หรือวิชาชาตรี ซึ่งเป็นวิชาอยู่ยงคงกระพันวิชาหนึ่งของท่าน วิชาลูกเบาหรือวิชาชาตรีไม่มีการสักอักขระยันต์ แต่มีการชักยันต์ซึ่งมีบทคาถาแขกภาวนา ในขณะที่ศิษย์ได้รับการถ่ายทอดจากครู อาจารย์ จะโดนทุ่มด้วยของหนัก เช่น ก้อนหินที่มีน้ำหนักมากๆ อย่างหินลับมีด แต่ผู้ที่ได้รับการครอบวิชาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนทุ่มด้วยของเบาๆ แต่ถ้าไม่ได้เรียนวิชานี้มา ถ้าโดนทุ่มขนาดนี้อาจจะคอหักตาย ผู้ที่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์จึงโดนทุ่มด้วยก้อนหินเป็นการขึ้นครูทุกคน



    อำนาจจิตของหลวงพ่อกลั่นนั้นมากมาย เรื่องนี้หลวงพ่ออั้นอุปัฏฐาก หลวงพ่อกลั่นได้เล่าให้ลูกศิษย์ฟังถึงครั้งที่เรียนวิปัสสนากรรมฐานกับหลวง พ่อกลั่นว่า ขณะที่เรียนกรรมฐานนั้นหลวงพ่อกลั่นได้ให้หลวงพ่ออั้นไปนั่งปฏิบัติในโบสถ์ ขณะนั่งอยู่หลวงพ่ออั้นมองเห็นหลวงพ่อกลั่นจากในนิมิตว่า เห็นท่านเดินจากกุฏิมานั่งอยู่ตรงหน้า คอยสั่งสอนว่าผิดตรงไหนควรทำอะไร อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องแปลกเพราะหลวงพ่ออั้นท่านก็รู้ว่า หลวงพ่อกลั่นท่านอยู่บนกุฏิ กำลังคุยเรื่องธุระกับญาติโยมที่มาหาท่าน แต่ท่านก็ยังแบ่งร่างมาสอนหลวงพ่ออั้นในโบสถ์ได้

    หลวงพ่อกลั่น เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีวิชาอาคมขลัง ลูกศิษย์ของท่านที่มีชื่อเสียงก็คือ อาจารย์เฮง ไพรวัลย์, หลวงปู่สี วัดสะแก, กรมหลวงชุมพรฯ

    หลวงพ่อกลั่นมรณภาพเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๗ เล่ากันว่าในวันที่หลวงพ่อจะมรณภาพ อีกานับร้อยพันตัวมาออกันทั่ววัด ส่งเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ พอหลวงพ่อสิ้นลม อีกาเหล่านั้นเงียบเสียงเป็นปลิดทิ้ง แล้วโผบินจากไปเป็นกลุ่มๆ ครั้นพอถึงวันฌาปนกิจ ร่างหลวงพ่อกลั่นรุ่งขึ้นมีการทำบุญอัฐิ อีกาของหลวงพ่อก็กลับมาอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย พวกมันบินมาเกาะที่เชิงตะกอน และบริเวณลานวัด จากนั้นก็พากันบินวนไปรอบๆ อยู่ ๓ รอบ และตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีใครได้เห็นอีกาที่วัดพระญาติการามอีกเลย
     
  5. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เล่าสู่กันฟัง เรื่องหลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ประมาณปี 2548 มีชายคนหนึ่งมากราบหลวงปู่พิศดู สมัยนั้นหลวงปู่ยังอยู่กุฏิเก่า ชายคนนั้นมีความไม่สบายใจจึงมาปรึกษาหลวงปู่ว่า..
    ผมไปดูดวงกับหมอดูหลายคน เขาทักว่า ให้ระวังเหตุร้าย อุบัติเหตุ เพราะชะตาชีวิตกำลังตกต่ำ..

    หลวงปู่ได้ฟังดังนั้น ท่านก็(กำหนดจิต)นิ่งไป 3 วินาที แล้วท่านก็บอกกับเขาว่า..

    " ไม่เป็นไรนี่ ปลอดภัยดี.."

    ชายคนนั้นคงยังไม่เข้าใจว่าหลวงปู่ท่านใช้ญาณตรวจให้แล้ว จึงบอกกับหลวงปู่ว่า..
    ผมกลัวจะเป็นอย่างที่หมอเขาทักครับ หลวงปู่มีของดีให้ผมไว้คุ้มครองบ้างไหม..

    หลวงปู่.. " เอ๊ มันไม่เป็นอะไรนะ ปลอดภัยดีทุกอย่าง.."

    ผมขอของดีไว้คุ้มครองหน่อยนะครับ..

    หลวงปู่คงเห็นว่าแกคงอยากได้ของอะไรไว้เสริมกำลังใจ ท่านจึงให้เป็นสติ๊กเกอร์พระพุทธเจ้า กับตราสัญลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปติดรถไว้ แล้วย้ำกับชายคนนั้นอีกว่า..

    " โอ้นี่ของดี ติดรถไว้ไม่ต้องห่วงเลย.. โยมไม่ต้องกังวลอะไร เรื่องมันยังไม่เกิด กังวลไปใจปัจจุบันมันจะเสีย แต่ดูแล้วไม่มีอะไรหรอก.."

    แล้วก็จริงดั่งคำหลวงปู่กล่าว ผ่านไปนานร่วมปี ชายคนนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สบายดีทุกอย่าง และยังมากราบหลวงปู่เสมอ แต่ผมไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามเขาไว้ จึงไม่ทราบว่าชื่ออะไร

    #ปัจฉิมลิขิต.. เรื่องอนาคตังสญาณ อตีตังสญาณ ปัจจุปันนังสญาณ เจโตปริยญาณ และญาณด้านอื่นๆ หลวงปู่ท่านทรงไว้อยู่เป็นปกติ ถามไปปั๊บ ท่านตอบได้ทันที(ถ้าจะตอบ) เรื่องนี้ลูกศิษย์เห็นกันเป็นปกติ
     
  6. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต

    หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต วัดป่าคูณคำวิปัสสนา ต.กุดให อ.กุดบาก จ.สกลนคร
    ที่วัดมีรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดรเท่าองค์จริงซึ่งมีปาฏิหาริย์มาก
    หลวงปู่ขาวได้เคยพบหลวงปู่เทพโลกอุดร 2 ครั้ง

    ครั้งแรกตอนเป็นเณร อายุ 12 ปี เข้าป่าไปกับเพื่อนเณรเพื่อเที่ยวเล่นหลงป่าออกไม่ได้ พบพระชรารูปหนึ่งนั่งอยู่ ผิวขาวออกชมพู ผมสีขาว บอกทางออกให้

    ครั้งที่ 2 ท่านไปที่ฝั่งลาวตอนอายุ 16 ปี โดนทหารเวียดนามล้อมไว้นึกว่าท่านเป็นสายลับ ท่านนั่งสมาธิอยู่ด้วยความกลัว ปรากฏว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรมาสะกิดท่านถามว่าจะให้ช่วยออกจากวงล้อมไหม ถ้าจะให้ช่วยก็ให้หลับตาลง พอหลับตาหลวงปู่ก็จับข้อมือท่านแล้วก็มีลมมาปะทะหูก็อื้อเหมือนลม เมื่อลืมตาก็เห็นพระพุทธรูป 3 องค์ ถามท่านว่าเป็นที่ไหน ท่านว่าอยู่บนภูเขาควาย ท่านจึงอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่น

    ทุกเช้าก็จะมีคนมาใส่บาตรให้ แต่เมื่อตามไปดูก็ไม่พบว่ามีบ้านคนอยู่แถบนั้นเลย วันหนึ่งจึงคิดลองถามชาวบ้านคนนั้นดู พอจะถามเขาก็ชิงพูดก่อนเลยว่าไม่ต้องถาม ถ้าถามจะอดฉันข้าว

    ทุกคืนท่านจะได้ยินเสียงพระมาสอนธรรมะเรื่องสติปัฏฐานและอสุภกรรมฐานให้ เมื่อท่านปฏิบัติไปนานจะครบ 3 เดือนเข้าเรื่องที่คิดจะสึกก็เลิกคิด และพูดเปรยออกมาว่าจะไม่สึกแล้ว พอพูดจบหลวงปู่เทพโลกอุดรก็ปรากฏกายขึ้นทันที

    หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเล่าว่าท่านเป็นพระสมัยพุทธกาล เป็นลูกศิษย์ของพระมหากัสสปะ ท่านตั้งใจอยู่เพื่อรักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ 5,000 ปี ท่านจะคอยช่วยเหลือพระที่อยู่ในป่าและได้รับอันตรายหรือติดขัดทางธรรมะ ท่านไม่มีชื่อ
    แต่ลูกศิษย์ของท่านคือ "วังหน้า" เรียกท่านว่า "พระครูเทพโลกอุดร" และสร้างพระให้ท่านปลุกเสก
    ส่วนพระที่ไม่ใช่กรุวังหน้านั้นท่านไม่ได้สร้างแต่ผู้ที่นับถือท่านหรือลูกศิษย์สร้างถวายไว้ด้วยความเคารพ (จากการตรวจพุทธคุณที่มีพลังของหลวงปู่เทพเสกไว้ให้ เช่น กรุวัดชนะสงคราม กรุวัดเชิงท่า กรุวัดป่ามะม่วง เป็นต้น)ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรปลุกเสกพระกรุวังหน้าให้อย่างแน่นอน

    หลวงปู่เทพโลกอุดรขอให้ท่านสร้างโบสถ์ที่วัดนี้ แต่ท่านบอกสร้างไม่ได้หรอกเพราะไม่มีเงิน หลวงปู่บอกไม่เป็นไรพรุ่งนี้จะมีผู้มาถวายเงิน 700,000 บาท พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนมาถวายจริงๆ จึงได้เริ่มสร้าง

    ท่านเล่าว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรมีผิวกายสีดำแดง แต่ดูออกผิวขาวเนื่องจากผิวของท่านใส ละเอียดและมีรัศมี เกศาสีขาวเส้นละเอียดไม่สั้นไม่ยาวเกินไปดูเหมือนปุยนุ่น นัยตาสีดำ ห่มจีวรสีเหลืองไม่เข้มนักเกือบเป็นสีกรัก ท่านสอนเน้น
    เรื่องสติคือให้มีสติในทุกเมื่อและไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น

    ชาวบ้านเคารหลวงปู่ขาวมากและเรียกท่านว่าหลวงปู่ตั้งแต่ท่านยังเป็นเณร โดยเรียกว่า "หลวงปู่เณร" ท่านว่าชาติก่อนท่านเป็นคนลาว แม้ทุกวันนี้ก็ยังรู้เรื่องของลาวเยอะมาก

    Cr เพจ
    วัตถุมงคลสายหลวงปู่เทพโลกอุดรและธาตุกายสิทธิ์
     
  7. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เล่าสู่กันฟัง
    หลวงปู่พิศดู ธมฺมจารี โดย
    Sira Pop

    ชีวิตแห่งการครองสมณเพศขององค์หลวงปู่พิศดู ท่านมีประสบการณ์อย่างผาดโผนมาก ท่านเล่าว่า

    " ลำบากที่สุด อันตรายที่สุด น่าพิศวงที่สุด ก็ผ่านมาหมดแล้ว.."

    เรียกได้ว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆเคยพบเจออะไรที่เป็นเรื่องเหนือวิสัยของปุถุชน ความรู้ความเห็นขององค์หลวงปู่พิศดูก็เห็นได้ตามอย่างนั้นตั้งแต่ยังพรรษาน้อยๆ เท่าที่ผมทราบมีอยู่มากมาย อาทิ..

    หลวงปู่ท่านสำเร็จรูปฌาน 4 ตั้งแต่บวชได้พรรษาแรก..

    ช่วงอายุท่านได้เพียง 30 ปีเศษ พรรษาที่ 10 กว่า หลวงปู่ก็สามารถพาลูกศิษย์เข้าไปชมเมืองลับแลที่เป็นภพที่ซ้อนกันอยู่กับโลกของเรา ได้ด้วยกายเนื้อแล้ว..!!
    (ปัจจุบันคนที่ไปเมืองลับแลกับหลวงปู่ก็ยังมีชีวิตอยู่)


    ท่านสามารถบิณฑบาตรกับรุกขเทวดา หรือชาวลับแล และท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆได้อย่างที่ใจปรารถนา..

    เดินจงกรม และนั่งฉันข้าวกลางสายฝนไม่เปียก..

    ผจญต่อสัตว์ป่าดุร้าย อันมี หมี เสือ ช้าง กระทิงโทน และสัตว์มีพิษต่างๆ ซึ่งท่านก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ..

    อีกทั้งความรู้ในเรื่องของการรู้วาระจิต วาระกรรมของทั้งคนและสัตว์ ทั้งไกลและใกล้ ตลอดจนถึงการแสดงฤทธิ์อภิญญาต่างๆได้อย่างน่าอัศจรรย์ ฯลฯ

    เหล่านี้คือผลพลอยได้จากการปฏิบัติธรรมอย่างเอาจริงเอาจังของท่าน

    ครูบาอาจารย์ที่มีจิตโลดโผนนั้น มักเกิดจากการบำเพ็ญเพียรสั่งสมวาสนาวิสัยในการปฏิบัติธรรมแบบเข้มข้นมาหลายภพหลายชาติ จนบารมีถึงขั้นปรมัตถ์(เต็ม) ชาติสุดท้ายนี้เพียงแค่เพียรทำต่อไป ก็สามารถบรรลุคุณธรรมขั้นสูงสุดได้โดยไม่นานนัก คุณวิเศษอะไรที่เคยได้มาแต่ปางก่อนก็กลับคืนมาได้อย่างหมดสิ้น เพียงแต่ท่านจะแสดงให้ใครได้ทราบหรือไม่เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรจิตท่านก็รับรู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ เจริญวิปัสสนาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นกฏแห่งไตรลักษณ์ และวางเฉยเสียเท่านั้น อารมณ์ท่านจึงอิ่มเต็มอยู่ทุกเวลา ผัสสะ เวทนาทั้งหลายก็ไม่อาจทำอะไรกับจิตที่บริสุทธิ์ แน่วนิ่ง และสว่างไสวของท่านได้เลย...

    ครูบาอาจารย์ระดับนี้ถ้าเรื่องพลังจิตนั้นไม่ต้องพูดถึง ทุกอย่างสำเร็จด้วยใจทั้งสิ้น หรือที่เรียกว่า ฤทธิ์ทางใจ เพียงคิดจะเสกอะไรเพียงแค่ใจคิดให้เป็นไปอย่างนั้นๆเท่านั้น ก็สามารถบังเกิดผลสำเร็จเป็นจริงได้อย่างฉับพลัน มีผลสมบูรณ์แบบอย่างถึงที่สุดเลยทีเดียว

    ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ธาตุขันธ์ที่หุ้มห่อเป็นที่อยู่อาศัยของจิตก็พลอยมีความบริสุทธิ์ไปด้วย ซึ่งเราจะพบได้ว่า ธาตุต่างๆที่ออกมาจากกายสังขารนั้น ถ้ามีผู้หมั่นบูชาด้วยใจศรัทธา ธาตุกายของท่านเหล่านั้นก็สามารถแปลสภาพเป็นพระธาตุที่บริสุทธิ์สวยงามได้ดั่งอัญมณีเลอค่า อีกทั้งยังมีอานุภาพเหนือวัตถุธาตุใดๆในโลกธาตุทั้งหมดอย่างไม่มีประมาณ สามารถบันดาลให้เกิดขึ้น แปลสภาพ เสด็จไป-มา หรืออันตรธานไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องเหล่านี้เป็นปัจจัตตังที่ต้องรู้เห็นได้เฉพาะตน..

    ผมเคยเห็นหลวงปู่เวลาท่านเสกของหลายครั้ง บางครั้งก็เห็นท่านสวดมนต์อยู่นานสองนาน ชักยันต์กลางอากาศบ้าง บางครั้งเพียงแค่ท่านใช้มือแตะบ้าง เอานิ้วจิ้มบ้าง เอาสายตามองบ้าง หรือบางทีของที่ต้องการให้ท่านเสกอยู่ในต่างสถานที่กันแต่ตัวท่านอยู่ที่วัดท่านส่งจิตไปเสกให้ก็มี

    การอธิษฐานจิตของพระผู้ทรงความบริสุทธิ์ จริงๆก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาอธิษฐานยาวนาน เพียงแค่เสี้ยวเวลาในขณะจิตแว๊บ..เดียว ก็สำเร็จผลสมบูรณ์แล้ว แต่บางครั้งที่ท่านอธิษฐานจิตให้นานๆ ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ศรัทธาจะได้มั่นใจ..

    แต่จริงๆแล้วไม่ว่าท่านจะใช้เวลาอธิษฐานเพียงแค่แป๊บเดียว หรือยาวนานแค่ไหนก็ตาม ของนั้นก็กลับมีอานุภาพ หมายถึงพลังงานที่บรรจุเข้าไปอย่างเต็มเปี่ยมได้ดุจเดียวกัน ทำให้ผู้ที่นำไปใช้เกิดมีประสบการณ์ต่างๆ ทั้งเรื่องการคุ้มครอง เมตตา โภคทรัพย์ กำบังตน แคล้วคลาด ฯลฯ หลายครั้ง หลายคน จนนับไม่ถ้วน ทั้งๆที่ของนั้นเป็นของอย่างเดียวกัน แต่ว่าสามารถทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ได้หลายๆอย่างตามแต่จะอธิษฐานเลยทีเดียว

    โดยเฉพาะสามารถช่วยได้มากในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ภาวนา โดยการนำวัตถุมงคลของหลวงปู่ท่านมาใส่ หรือกำนั่งภาวนา จะเป็นเครื่องโยงจิตเข้าสู่ความสงบดิ่งได้ง่ายขึ้น แม้คนที่ใจร้อนโมโหง่าย หากได้ใส่วัตถุมงคลของหลวงปู่พิศดูแล้ว จะทำมห้ปรับระดับอารมณ์ให้เย็นลงและมีสติมากขึ้น

    ทั้งนี้เป็นเพราะบารมีธรรมขององค์ท่านที่อธิษฐานแผ่บรรจุเข้าไว้ในของทุกชิ้นทุกองค์ ไม่ว่าของใดๆที่ผ่านการอธิษฐานจากหลวงปู่ ก็มีอานุภาพของพลังงานจิตที่บริสุทธิ์ สามารถใช้ได้ดีเช่นเดียวกันทั้งหมด ไม่ว่าจะทัน หรือไม่ทันตอนทรงสังขารธรรมอยู่ก็ตาม เพราะเรื่องของพลังงานนั้นเกิดจากจิต ไม่ได้เกี่ยวกายสังขาร เพราะจิตท่านอยู่เหนือเวทนา แยกจิตแยกกายได้สิ้นเชิง โดยเฉพาะจิตที่เป็นมหากำลังอสังขตธรรม ไม่มีประมาณ และไม่มีวันเสื่อม เป็นอิสระเหนือทุกสภาวะ..
     
  8. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เล่าสู่กันฟัง หลวงปู่ทัศน์ จนฺทาโภ


    หลวงปู่ทัศน์ จนฺทาโภ อายุ ๙๓ ปี หลวงปู่ลึกลับมากอภินิหารแห่งวังไม้ตอก
    ** ศิษย์หลวงพ่อยี วัดดงตาก้อนทอง เสกข้าวเปลือกเป็นทองคำ**

    ตอนที่๑
    .......ทำไมผู้เขียนถึงกล่าวว่า หลวงปู่ทัศน์ท่านเป็นพระลึกลับมากอภินิหารแห่งวังไม้ตอก? คำตอบก็คือเหตุที่ผู้เขียนได้รู้จักท่านก็เพราะเมื่อครั้งที่ไปทำบทความประวัติหลวงพ่อยี ที่วัดดงตาก้อนทอง อำเภอบางกระทุ่ม จังหวัดพิษณุโลก ขณะไปถึงวัด เจ้าอาวาสท่านติดแขกอยู่

    ผู้เขียนเลยปลีกตัวออกมาเดินบันทึกภาพบริเวณทั่วๆไปของวัดดงตาก้อนทอง จนมาถึงบริเวณหน้าโบสถ์ อยู่ๆก็มีคุณตาแก่ๆคนหนึ่ง ท่าทางอย่างกับพวกชีปะขาว ไม่รู้มาจากไหน ตั้งแต่เมื่อไร พอเห็นอีกทีแกก็เดินเข้ามาหาถึงตัวผู้เขียนแล้ว และก็มาบอกแค่ว่า ให้ไปหาหลวงปู่ทัศน์ ที่วัดวังไม้ตอก อำเภอวังทอง โดยกำชับว่าต้องไปให้ได้นะ ท่านเก่งแบบหลวงพ่อยี แต่ไม่ยอมเปิดเผยตัว ไปหาท่านเถอะ แล้วบอกว่าตาให้มาหา

    พอสิ้นคำแนะนำของคุณตาก็พอดีกับน้องๆทีมงานตะโกนเรียกผู้เขียน โดยบอกว่าท่านเจ้าอาวาสวัดดงตาก้อนทองเสร็จธุระกับแขกแล้ว ท่านตามให้ไปหา ผู้เขียนเลยหันไปทางทีมงานแล้วตะโกนบอกว่ารอเดี๋ยว กำลังจะไป ขอสัมภาษณ์คุณตาก่อน พอตะโกนเสร็จก็หันกลับมาเพื่อจะสัมภาษณ์คุณตาเพิ่มเติมอีกสักหน่อย แต่ไม่รู้ว่าคุณตาหายไปไหนเสียแล้ว ตอนนั้นผู้เขียนได้แต่นึกอยู่ในใจ นั่นประไร!! เจอดีเข้าแล้วไหมหละ?

    พอเสร็จจากการทำบทความที่วัดดงตาก้อนทอง พวกเราจึงหาเวลาที่จะไปค้นหาหลวงปู่ทัศน์ที่บ้านวังไม้ตอกกัน ว่าแต่ว่าชื่อแปลกอย่างนี้จะอยู่ส่วนไหนของอำเภอวังทองกันนะ น้องๆทีมงานจึงไม่รอช้าทำการค้นหาในแผนที่กูเกิ้ล ไม่นานก็พบ จากนั้นพวกเราจึงตั้งระบบจีพีเอสนำทางไป ปรากฏว่าอีกราวๆหนึ่งชั่วโมง พวกเราก็มาถึงวัดวังไม้ตอกจนได้

    ........เมื่อมาจอดรถเข้าที่ดีเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็พากันเดินลงจากรถ แต่เชื่อไหมว่า วัดนี้เงียบสงบวังเวง ชวนขนลุกอย่างไรก็ไม่รู้ ทันใดนั้นน้องคนหนึ่งในทีมงานก็ร้องตะโกนขึ้นมาว่า พี่ๆ หนูเห็นเด็กแก้ผ้าวิ่งเข้าไปที่ต้นไทร หา อะไรนะ ทุกคนแทบจะร้องอุทานขึ้นมาพร้อมๆกับสายตาทุกคู่ที่จ้องมองไปยังต้นไทร แต่ก็ไม่ทันเห็นเด็กแก้ผ้าเสียแล้ว

    พวกเราจึงสรุปว่าน้องคนที่เห็นคงตาฝาดไป จากนั้นก็เห็นหลังพระผู้เฒ่าตัวเล็กๆรูปหนึ่งกำลังเดินจากศาลาหลังใหญ่ไปยังกุฏิที่อยู่ทางด้านท้ายวัด พวกเราเลยรีบเดินตามไปทันที แต่ปรากฏว่าพวกเรากึ่งเดินกึ่งวิ่งก็ตามท่านไม่ทัน จนเห็นท่านเดินขึ้นกุฏิไปแล้ว พวกเราจึงตามไปถึงหน้ากุฏิ แต่พอมองเข้าไปก็ไม่เห็นมีใครอยู่สักคน

    พวกเราจึงตะโกนเรียกท่าน แต่ปรากฏว่าไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทุกอย่างเงียบสงบ ขณะนั้นผู้เขียนนึกอยู่ในใจเลยว่า วัดนี้แปลกๆดูลึกลับวังเวงชอบกล จึงพาทีมงานทั้งหมดเดินย้อนกลับออกมาที่ศาลาหลังใหญ่หน้าวัดตามทางเดิม และพวกเราทั้งหมดก็ต้องสะดุ้งเฮือก!! เมื่อเห็นพระผู้เฒ่าที่เราเดินตามเมื่อครู่ กลับมานอนเล่นอยู่ที่ต้นไทรได้อย่างไรก็ไม่รู้ ต้นไทรต้นนี้คือต้นที่น้องในทีมงานเห็นเด็กวิ่งหายเข้าไปตั้งแต่ทีแรก ที่พวกเราลงรถ และพวกเราต่างก็จ้องมองหาเด็กแก้ผ้ามาแล้ว โดยไม่เห็นทั้งเด็กและพระมานอนเล่นเลย

    แล้วนี่พระผู้เฒ่านั้นท่านมาได้อย่างไร ตอนขึ้นกุฏิไปแล้วก็หายเงียบไปเลย ถ้าท่านจะเดินออกมาใหม่ ก็ต้องเดินตามหลังพวกเราออกมา พวกเราก็ต้องเห็น แต่นี่เราไม่เห็นท่านเดินตามหรือเดินแซงพวกเราออกมาเลย ในใจผู้เขียนตอนนั้นนึกเลยว่า เจอดีอีกแล้วสิเรา สงสัยพระผู้เฒ่าลึกลับรูปนี้คงเป็นหลวงปู่ทัศน์อย่างแน่นอน

    ......ผู้เขียนจึงเดินนำน้องๆเข้าไปกราบนมัสการและสอบถามว่าท่านคือหลวงปู่ทัศน์ใช่หรือเปล่า? ท่านไม่ตอบ แต่จ้องหน้าผู้เขียนอยู่สักครู่ แล้วก็พยักหน้ารับว่าใช่ จากนั้นท่านก็ถามว่าตาผ้าขาวบอกให้มาหาฉันรึ? ผู้เขียนก็ตอบว่าครับ จากนั้นท่านก็นิ่งไม่พูดอะไร แต่ขณะเดียวกันน้องๆทีมงานที่นั่งอยู่ข้างหลัง ก็กระซิบบอกว่าน้องคนเดิมเห็นเด็กเล็กๆ คอยชะโงกหน้ามาแอบดูอยู่หลังต้นไทร แต่พอผู้เขียนและทุกคนมองตามไปกลับไม่เห็นอะไร

    ผู้เขียนจึงเรียนถามหลวงปู่ว่า แถวนี้มีเด็กมาเล่นด้วยหรือครับ หลวงปู่ท่านนิ่งไม่ตอบ แต่ชวนพวกเราขึ้นไปนั่งคุยบนศาลาหลังใหญ่ข้างๆ ท่านบอกว่ากุฏิของท่านอยู่ด้านบนศาลาหลังนี้ ว่าแล้วท่านก็ลุกเดินนำหน้าขึ้นศาลา พวกเราก็ลุกเดินตามท่านไปทันที พอขึ้นไปแล้วพบว่าศาลาโล่งหลังใหญ่มาก แต่กุฏิหรือห้องที่ท่านอยู่นั้นกลับเล็กๆแคบๆนิดเดียว และมีอะไรบางอย่างบนประตูกุฏิที่ทำให้พวกเราต้องตะลึง นั่นคือมหายันต์ของหลวงปู่ที่ลงเอาไว้เต็มบานประตูอย่างชนิดที่พวกเราไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

    ตอนนั้นผู้เขียนแอบคิดในใจเลยว่า หลวงปู่รูปนี้ลึกลับและพิสดารอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ทันที่ผู้เขียนจะละจากความคิดเลย หลวงปู่ท่านก็หันมาถามว่า มันพิสดารตรงไหนรึ? คำถามของท่านเล่นเอาผู้เขียนสะดุ้งเลย แสดงว่าท่านรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ นี่ถ้าใครคิดด่าว่าท่านอยู่ในใจหละก็ เสร็จแน่ ท่านรู้หมด แบบนี้แปลว่าท่านไม่ใช่พระธรรมดาเสียแล้ว มิน่าเล่าตาผ้าขาวถึงบอกว่าท่านเก่งเหมือนหลวงพ่อยีผู้เป็นอาจารย์
     
  9. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เล่าสู่กันฟัง
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน


    การทำบุญ ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองข้าวของตั้งแสนตั้งล้านมาทำ
    เราทำด้วยน้ำใจ เรามีมากน้อยทำตามกำลังศรัทธา
    ความสามารถของเรา เช่น ให้ทาน เรามีอะไรเราก็ให้ทาน
    น้ำใจเป็นสำคัญมาก วัตถุเป็นเครื่องประกอบ

    ถ้าวัตถุของเราไม่ดีไม่เยี่ยมสมใจที่อยากมี เอ๊า เรามีอะไรก็ให้ทานอันนั้น ด้วยน้ำใจที่รักบุญรักทาน ก็ได้บุญมากเช่นเดียวกัน
    ข้อสำคัญอยู่ที่น้ำใจ เอ้า วัตถุดีด้วย น้ำใจดีด้วย
    ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีกและภาวนาพุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ
    อย่าละอย่าวาง อยู่ที่ไหนก็นึกพุทโธ ถึงองค์ศาสดาได้
    ผลที่ปรากฏขึ้นมาก็คือความรู้ได้แก่ใจของเรานี้เด่นดวง...

    เมตตาธรรม
    หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๙
     
  10. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    65571838_2248347528612189_3119992590322106368_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง

    เรื่องหลวงปู่ครูบาวงศ์กับสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ


    มีครั้งหนึ่งหลวงปู่ครูบาวงศ์ได้อาพาธ ลูกศิษย์ที่เป็นหมอที่ศิริราช นิมนต์ท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ความทราบถึงสมเด็จพระญาณสังวรฯ ซึ่งทั้งสองท่านรู้จักกันมาก่อน สมเด็จได้มาเยี่ยมหลวงปู่ที่โรงพยาบาล สมเด็จได้เสด็จเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่พักรักษาตัว

    ครูบาวงศ์ท่านพอเห็นสมเด็จญาณมาหา ก็ลงมานั่งกราบสมเด็จ พอครูบาวงศ์ท่านกราบสมเด็จที่นั่งเก้าอี้ในห้องเสร็จ สมเด็จญาณท่านก็นิมนต์ให้หลวงปู่ครูบาวงศ์นั่งเก้าอี้บ้างแล้วท่านก็กราบหลวงปู่ครูบาวงศ์ ลูกศิษย์ที่ติดตามสมเด็จ ก็คิดในใจว่า ทำไมสมเด็จมากราบพระบ้านนอกไม่มีสมณศักดิ์แบบนี้

    สมเด็จฯท่านก็ทรงทราบวาระจิต ก็หันไปบอก ลูกศิษย์ที่ติดตามว่า
    “ ที่ครูบาวงศ์ กราบ(สมเด็จญาณ)คือสมมุติ ,,, แต่ที่นี่ (สมเด็จญาณ)กราบ ครูบาวงศ์ คือ วิมุตติ ”

    หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา
    Cr: คุณหมออั๋น & ต้นโพธิ์
     
  11. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    65246262_2499153510103384_7724901180421177344_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง ปู่อ่อนสา สุขกาโร



    ครั้งหนึ่งเคยมีลูกศิษย์ท่านหนึ่งถามหลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร ว่า :

    เคยได้ยินว่า หากไม่มีเงินทำบุญกับเขา แค่ยกมือไหว้สาธุ อนุโมทนาแค่นี้ ก็ได้บุญแล้ว..?

    หลวงปู่ตอบว่า : การยกมือขึ้นอนุโมทนาก็เป็นบุญนั้น หากทำให้สุขใจแล้ว นับว่าเป็นบุญ มันก็ใช่

    การทำบุญ เหมือนเปิดน้ำลงตุ่มวันละหยด สองหยด ไม่นานมันก็เต็ม เต็มเมื่อไหร่ได้ลิ้มรสแน่นอน หรือจะเปิดแรงๆ ไม่กี่นาทีมันก็เต็ม หากประปาไม่ไหล เปิดทั้งปีก็ไม่ได้น้ำ แข้งขาไม่เคยขยับ เงินไม่เคยควัก เอาแต่ยกมือสาธุ แล้วมึงจะไปเอาสุขภาพแข็งแรง เอาบุญกับเขานะ มึงมีสิทธิแล้วหรือ จะเรียกหาอะไร เมื่อไม่มีสิทธิ

    ทำบุญห้าบาทโน้น! มึงขอให้ตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์ชั้นแปดชั้นเก้า ปะสาเงินห้าบาท หากเงินห้าบาทพามึงขึ้นสวรรค์ได้ กูไม่มานั่งภาวนาให้หลังคดตดแตกอยู่นี่ดอก ฮึยย! มึงพากูไปนำแนเด้อ.

    เมตตาธรรมคำสอน..
    องค์หลวงปู่อ่อนสา สุขกาโร วัดประชาชุมพลพัฒนาราม ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี
     
  12. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #เล่าสู่กันฟัง

    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม วัดป่าสีห์พนม

    ให้พากันปฏิบัติเหมือนกับสมัยที่ท่านหลวงตา(หลวงตามหาบัว) อยู่กับเรานั้นล่ะ รักษาข้อวัตรปฏิบัติให้เหมือนเดิม รักษาไว้อันนี้ อนุรักษ์ไว้ ถ้าพวกเราไม่ช่วยดึงกันไว้มันจะหมดนะ ทุกวันนี้จะไปกันใหญ่ พวกหนึ่งก็ไปก่อสร้าง ก็เลยเอาการก่อสร้างเป็นเครื่องอยู่ ช่วงที่หลวงตามีชีวิติอยู่นั้น ท่านเตือนอยู่บ่อยๆ พอท่านไม่อยู่เท่านั้น เลยพากันเห่อเหิมการก่อการสร้างหรูๆหราๆกัน แล้วพวกที่เขาออกมาปฏิบัติสุดท้ายภายหลังจะยึดอะไร เขาเห็นพวกเราแล้วจะเข้าใจว่าการก่อสร้างนี้เป็นปฏิปทาของครูอาจารย์บ้อ ถ้าพวกเราไม่ช่วยกันดึงเอาไว้แล้ว มันจะหมดแล้วนะกรรมฐาน

    ➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖➖
    คติธรรมหลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
     
  13. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    65749187_2328137007304360_4756416241525063680_n.jpg

    #เล่าสู่กันฟัง

    วิธีต่ออายุแบบโบราณ โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง


    การต่ออายุก็ต้องทำให้มันถูก ถ้าทำไม่ถูกแล้วก็เสียเงินเปล่า ถ้าบังเอิญเป็นอายุขัยต่อเท่าไรไม่สำเร็จผล เพราะเชื้อไฟเดิมดับ หมดบุญบารมีที่ทำมา

    การหมดบุญบารมีนั้น แม้อายุขัยก็ไม่แน่ บางคนเป็นเด็กก็หมดอายุขัย บางคนก็เป็นหนุ่ม เป็นสาว บางคนวัยกลางคน บางคนก็ถึงวัยแก่อายุขัยนี่ไม่แน่นอนนัก

    คำว่า อายุขัย นี่หมายความว่าก่อนที่จะเกิด กฎของกรรมดีหรือกรรมชั่วกำหนดชีวิตให้มาเท่าไรถ้ากำหนดชีวิตมา ๒๐ ปี ก็ต้องแค่ ๒๐ ปี ๑๐ ปีก็ต้อง ๑๐ ปี ๓ วัน ก็ต้องแค่ ๓ วัน

    นี่เป็นอายุขัยต่อไม่ได้ ถ้าตายก่อนนั้นเขาเรียกว่า “อุปฆาตกกรรม” หรือว่า “อกาลมรณะ” อย่างนี้ต่อได้ และถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายจะต่ออายุแบบนี้

    ก็ต่อเสียทุกวันก็หมดเรื่องกัน วิธีต่อทุกวัน ก็หมายความว่า ให้ทุกท่านมีความเคารพในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ อย่างจริงจัง
    และก็ต้องเว้นจากกรรมที่เป็น ปาณาติบาต และถ้ามีเวลาเดินผ่านไป มีใครเขาหาปลาหาเต่า ที่เขาจะฆ่ามันให้ตายก็ออกสตางค์ซื้อ

    พอกำลังที่เราจะซื้อได้ แล้วก็นำไปปล่อยในที่ปลอดภัย ไม่ใช่ปล่อยในหม้อข้าวหม้อแกงของเรานะไปปล่อยในสถานที่ ๆ เธอจะมีความสุขในแม่น้ำก็ได้ หนอง คลอง บึงก็ได้

    ปล่อยให้เธอรอดชีวิตตามวิธีโบราณาจารย์ท่านสอนไว้อย่างนี้นะว่า

    วิธีต่ออายุใหญ่ คือ ถึงปีหนึ่งถ้าเป็นวันเกิด หรือเป็นวันสำคัญของเรา วันไหนก็ได้ทำกับข้าว ทำอาหารพิเศษตามที่เราพอใจ เท่าที่ทุนจะพึงมี

    จัดการใส่บาตรแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา แล้วก็ถ้าหากว่ามีสตางค์ก็สร้างพระพุทธรูปสัก ๑ องค์ พระพุทธรูปนี่จะเป็นพระดินเหนียวก็ได้ เป็นพระปูนซีเมนต์ก็ได้

    เป็นปูนปลาสเตอร์ก็ได้ หรือ พระโลหะก็ได้ ไม่จำกัด เพราะเป็นรูปพระแล้ว มีอานิสงส์เสมอกัน แต่ต้องมีหน้าตักไม่น้อยกว่า ๔ นิ้ว ถวายไว้เป็นสมบัติของสงฆ์

    หลังจากนั้นก็เอาสัตว์ที่จะพึงถูกฆ่าตาย อย่างที่เขานำเอามาขายเพื่อแกงหรือที่เขาทอดแหสุ่มปลาได้ ถ้ามีสตางค์ก็ไปซื้อเขาสักตัว ๒ ตัว ตามกำลัง แล้วปล่อยไป

    และก็อุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรและเทวดาผู้รักษาชีวิต ท่านบอกว่าถ้าทำอย่างนี้เป็นนิจ คำว่า อุปฆาตกกรรม คือ กรรมที่เข้ามาริดรอนก่อนอายุขัยก็ดี

    และ อกาลมรณะ การที่จะตายก่อนอายุขัยก็ดี จะไม่มีสำหรับผู้ที่ทำแบบนี้ แต่ทว่าถ้ากรรมอย่างนี้เข้ามาถึงแค่ป่วยไม่มากก็เป็นของธรรมดา
     
  14. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    575DD998-E4CD-4E4C-965F-4BB9299FA93D.jpeg

    #เล่าข่าวบุญ;
    ขอเชิญร่วมบุญทอดผ้าป่าสามัคคี
    เพื่อช่วยเหลือค่าภัตตาหารวัดกันดารและเพื่อสาธารณะประโยชน์ จำนวน 36 วัด กับมูลนิธิหลวงปู่หลุย จันทสาโร

    ณ ที่พักสงฆ์ กม.27 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี
    ในวันอาทิตย์ที่ 7 กรกฏาคม 2562 เวลา 09.30 น.

    กำหนดการ
    วันเสาร์ที่ 6 กรกฏาคม 2562
    เวลา 19.00 น. ร่วมกันทำวัตร สวดพุทธมนต์ และฟังพระธรรมเทศนา

    วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฏาคม 2562
    เวลา 09.30 ประกอบพิธีทอดผ้าป่า

    ใครไม่สะดวกไปร่วมงาน สามารถโอนปัจจัยทำบุญได้ที่
    บัญชีมูลนิธิจันทสาโร (หลุย) ธ.กรุงเทพ สาขาประชาชื่น ประเภทสะสมทรัพย์ เลขที่ 193-0-10107-4
    สอบถามรายละเอียดได้ที่ 089-1633945

    ดอกผลจากบัญชีนี้ นำไปช่วยค่าภัตตาหารวัดป่ากรรมฐานถึง 36 วัด ร่วมกันสานต่อเจตนารมย์หลวงปู่หลุยกันนะครับ

    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     
  15. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    B4C14F2E-A58E-46A6-AE44-A712A13999C7.jpeg
    #เล่าสู่ดันฟัง หลวงปู่ขาว พุทธรักขิโต

    ถอดรหัสปริศนาธรรมหลวงปู่ขาวศิษย์หลวงปู่ใหญ่:หลวงปู่เทพอุดร2วันที่ 1 มิถุนายน 2562 - 00:00 น.


    หลวงปู่ขาว,หลวงปู่เทพโลกอุดร,ตามรอยตำนานแผ่นดิน


    มีบันทึกเอาไว้ว่าหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นมีอภินิหารมาก ไปมาไร้ร่องรอย เป็นอาจารย์ใหญ่ในสายอภิญญา ได้รับพุทธบัญชาจากพระพุทธเจ้าให้อยู่ดูแลพระศาสนาไปจนกว่าจะครบถ้วน ๕,๐๐๐ ปี ตามพระพุทธพยากรณ์ เป็นพระอรหันต์มาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาล และเป็นสหธรรมิกกับพระโมคคัลลานะท่านมีฤทธิ์มาก สายในดง ศิษย์ของท่านมีทั้งพระและฆราวาส (ฤาษี ดาบส ตาปะขาว) มีความลึกลับซ่อนเร้นปิดบังอำพรางมาก มีปฏิปทาแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร บ้างก็แกล้งบ้า (แบบหลวงพ่อเชย อาจารย์ของเซียนสูที่ชลบุรี), บ้างก็ไม่สนใจความเป็นไปของโลก (แบบหลวงพ่อกบ หลวงพ่อโอภาสี ฯลฯ), บ้างออกแนวพระเกจิอาจารย์ (สมเด็จโต วัดระฆัง, หลวงปู่ศุข ปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเงิน บางคลาน, หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ, หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค, หลวงปู่หมุน ฯลฯ), บ้างก็ออกแนวพระสายวิปัสสนากรรมฐาน (หลวงปู่มั่น ฯลฯ), บ้างก็ออกแนวพระอาจารย์สำนักใหญ่ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ, หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน), บ้างก็ออกแนวพระสันโดษ (ชอบปลีกวิเวกอยู่รูปเดียว เช่น หลวงปู่แสง วัดมณีชลขัณฑ์, หลวงพ่อเกษม เขมโก, หลวงปู่พิศดู, หลวงปู่จำปา, หลวงปู่โง่น ฯลฯ)


    พระธาตุคูณคำ

    เรียกว่า ศิษย์ของท่านที่เป็นพระอภิญญาสายหลวงปู่ใหญ่หรือหลวงปู่เทพโลกอุดรนั้น มีทั้งแบบในดงและนอกดง


    สายในดงคือ สายที่อยู่แต่ในป่าเขาลำเนาไพรหรืออยู่ในอีกมิติหนึ่ง เช่น อมรโคยานทวีป หรือ เขาคันธมาทน์ ในป่าหิมพานต์ ฯลฯ บางรูปก็จำพรรษาอยู่ในน้ำในสะดือทะเล (เกษียรสมุทร) เช่น หลวงพ่อพระอุปคุต เป็นต้น สายนอกดงคือ จะอยู่นอกป่าลึกหรืออยู่ในเมืองหรือใกล้กับตัวเมือง พอให้คนได้พบได้เจอบ้าง เพื่อทำหน้าที่สอนคน ดึงคน หรือโปรดคนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันในสายของหลวงปู่ ซึ่งต้องมีบุญบารมีพอสมควร การพบเจอหลวงปู่ใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนอกจากจะต้องมีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกัน

    ว่ากันว่าเป็นภาพหลวงปู่เทพอุดร ถ่ายภาพกับหลวงพ่อจรัญ

    ในหนังสือของหลวงพ่อจรัญและในคัมภีร์อโศกาวทาน เคยมีการเขียนบันทึกเอาไว้ถึง รูปลักษณ์ของหลวงปู่ใหญ่นั้นมีรูปแบบที่สุดแท้แต่ว่าท่านจะมาในรูปลักษณ์กายใด อย่างที่หลวงพ่อจรัญบันทึกไว้คือ มีรูปลักษณะเป็นพระแก่เฒ่าชราภาพมาก หูยานเกือบถึงบ่า ผมเผ้ายาวรุงรัง ผิวหนังเหี่ยวย่นหย่อนยานมาก แต่น้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยพลัง และทรงฤทธิ์อภิญญาสูงมาก พูดได้ทุกภาษาในโลก แต่หลักๆ จะพูดเป็นภาษามคธหรือภาษาบาลี สามารถเหาะเหินเดินอากาศหรือล่องหนหายตัวได้เป็นเรื่องปกติ เนรมิตร่างกายได้ทุกสภาพ

    หลวงปู่ขาวเคยเล่าให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรเอาไว้และทาง http://kutbak.sakhonnakhon.police.go.th/rice/rice.htm นำมาลงเผยแพร่ว่า ท่านได้เมตตาเล่าถึงความสัมพันธ์ที่ท่านได้รับจากหลวงปู่เทพโลกอุดรให้ได้รับทราบ

    “เรายอมจริงๆ ยอมรับท่านทุกอย่าง ยอมเป็นทาสรับใช้ท่าน ยอมศิโรราบ เพราะเราเคยเห็นสิ่งต่างๆ หลายอย่างจากท่าน แต่ถ้าเราจะมายกให้เห็นเป็นหลักฐานขึ้นมาอ้างอิงเช่นคนอื่นๆ นั้นจนปัญญา เพราะไม่มีตัวตนในตอนที่ได้อยู่กับท่านด้วยกายเนื้อตลอด ๗ วัน แต่สำหรับทุกๆ วันพระท่านจะมาสอนประจำทางสมาธิจะอยู่แห่งใดทุกวันพระท่านก็จะมาสอนให้โอวาท อย่างงานที่ท่านให้บูรณะพระธาตุคูณคำในวัด มีอะไรจะปรึกษาท่านตลอด อย่างปรึกษาท่านว่า “ลูกจะสร้างสิ่งนี้จะสำเร็จไหม” หลวงปู่จะบอกให้ทราบ ว่ากันว่าเป็นภาพหลวงปู่เทพอุดร ถ่ายภาพกับหลวงพ่อจรัญ

    “ลูกเอ๋ย ถ้าถามว่าการสร้างในพระพุทธศาสนานี่มันดีไหม มันดี แต่ก็อย่างมงาย ให้สร้างเพราะสละความตระหนี่ สร้างเพื่อให้เป็นพุทธบูชา ถ้าจะสร้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าการสร้างวัตถุเพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ต่างๆ นั้นมันผิดกับหลักธรรมคำสอน พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมศาสดาของเราท่านไม่ได้สอนในเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช

    ท่านไม่ได้สอนให้ทำในเรื่องวัตถุมงคล แต่ถ้าเราทำก็ทำได้แต่ว่าเราอย่าไปยึดติดกับมัน เราทำไว้เพื่อประดับตาโลกแต่สิ่งนี้มิใช่แก่นของพระธรรม พ่อก็ไม่ห้ามแต่ก็อย่าไปหลงงมงายจนถอนตัวไม่ขึ้น วัตถุมงคลนั้นมันดีตรงกำลังใจ

    สมมติเรามีความท้อแท้ แต่จิตเรามีความเชื่อว่าสิ่งทั้งหลายมันช่วยได้นั่นแหละคือตัวศรัทธา ความเชื่อมั่นเกิดเป็นฤทธิ์กระตุ้นจิตใจให้ได้เกิดผล เมื่อผลที่เกิดขึ้นที่จิตใจเขาได้รับผลดังใจเขาจึงเกิดความเชื่อศรัทธานับถือมีฤทธิ์มีเดช ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แท้ที่จริงแล้วมันเกิดจากจิตของเขา มันไม่ได้เกิดจากวัตถุนั้น ถ้าทำด้วยความเชื่อศรัทธาจึงจะเกิดเป็นฤทธิ์เป็นผล”

    นายภันธกานต์ กิ้มทอง เคยเขียนบทความโดยอ้างอิงว่า หลวงปู่ขาว เคยได้กราบเรียนหลวงปู่เทพโลกอุดร “แล้ววัตถุมงคลที่พ่อสร้างไว้ล่ะมีไหม”

    ท่านบอกให้ทราบว่า

    “ตั้งแต่พ่อบวชมาในสมัยครั้งท่านหลวงพ่อมหากัสสปเถระ เป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐาน ท่านไม่เคยสอนเรื่องการสร้างวัตถุมงคล ท่านสอนเรื่องการปฏิบัติอย่างเดียว เน้นหนักมีแต่เรื่องธรรมะล้วนๆ เน้นการปฏิบัติล้วนๆ ไม่ได้สอนในเรื่องวัตถุมงคล แต่ที่เขาเล่าลือกันว่าเป็นพระกรุหลวงพ่อแตกที่นั่นที่นี่สิ่งที่เขาพูดเขาอุปโลกน์ขึ้นมาเองพ่อไม่ได้ทำขึ้น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า

    แต่ที่ทำจริงๆ คือกรุวังหน้า ๘๔,๐๐๐ องค์นั้นพ่อทำไว้จริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนะลูกเราจะทำอะไรก็ช่างขอให้ใจเรามีความศรัทธาเต็มร้อยเชื่อเต็มร้อย เมื่อเรามีความเชื่อศรัทธาเต็มร้อยความสำเร็จนั้นไม่ได้อยู่ที่วัตถุมงคล แต่สำเร็จที่ใจเรา เมื่อใจเราสำเร็จแล้ว ทุกอย่างมันต้องสำเร็จ

    เพราะทุกอย่างมันเกิดที่เหตุเกิดขึ้นที่ใจ ถ้าเรามีความเชื่อขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีธรรมที่เราได้บำเพ็ญมาทุกภพทุกชาติ บารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเป็นพระบรมครูแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ เราขอแผ่บิณฑบาตเอากับเทวดาองค์นั้นกับเทวดาองค์นี้จงไปหาข้าทาสบริวารที่เคยสร้างบารมีธรรมในพระพุทธศาสนาถ้าจะสร้างนั่นสร้างนี่ให้บอกวัตถุประสงค์เขาและขอบารมีเขาขอแผ่เมตตาบิณฑบาตให้ไปสะกิดจิตใจข้าทาสบริวารเนื้อนาบุญสาวกของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ใครมีศรัทธาก็ขอให้มารวมบารมีธรรมอธิษฐานเอา”

    หลวงปู่ขาว ท่านขยายความเอาไว้ว่า “ในบรรดาศิษย์ของท่านพระมหากัสสปเถระมีที่เป็นเลิศในทางปัญญา คือท่านพระโสณเถระ และท่านที่เป็นเลิศทางมีฤทธิ์เดชคือพระอุตตรเถระหรือที่ชาวไทยเรียกขานนามท่านว่าหลวงปู่เทพโลกอุดร ท่านพระมหากัสสปเถระได้สั่งกำชับพระอุตตรเถระไว้ว่า ถ้าถึงคราวเกิดวิกฤติในศาสนาขององค์พระสมณโคดมขึ้นมาเมื่อใดยุคนั้นหลังพุทธองค์ปรินิพพานไป ๒,๕๐๐ ปีแล้วจิตใจของผู้คนจะเสื่อมถอยไปจากศีลธรรมมากขึ้นๆ แต่พระพุทธศาสนาของสมณโคดมนั้นยังคงความศักดิ์สิทธิ์อยู่เช่นเดิม

    แต่ความเชื่อมั่นของมนุษย์โลกจะลดลง ความเชื่อในบาปบุญคุณโทษไม่ค่อยมี เพราะเป็นช่วงที่พญามารขึ้นมาปกครอง ฉะนั้นจะต้องหาอุบายให้ผู้คนรับรู้เพื่อเอาชนะพญามาร(กิเลสในจิตของตน)ไม่ให้มาครอบครองโลกได้อย่างน้อย ถ้าเป็นสามส่วนให้คงเหลือไว้สักหนึ่งส่วนก็ยังดี และในช่วงเวลานั้นหากจะเอาปัญญามาแก้ไขปัญหาก็คงไม่ได้ผล เพราะสังคมโลกไม่ค่อยยอมรับ ไม่ได้เอาสติปัญญามาแก้ไขปัญหา เพราะไม่เชื่อในธรรมะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2019
  16. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    A4C34D22-6023-4C53-8DC6-DCD3132A4C5A.jpeg 9B4ACFB5-DC39-47B9-93FE-9E77AA5CAE70.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง พระขุนแผนผงพราย หลวงปู่ขาว


    ขออ้างอิงข้อมูลจากพระอาจารย์เกรียงไกรครับผม

    ประวัติการจัดสร้างพระขุนแผนพรายกุมารมีด้วยกันทั้งหมด 2 วาระ


    - วาระแรกหลวงปู่มีดำริสร้างเพื่อแจกไว้ให้กับลูกศิษย์ได้นำไปบูชากันจำนวนไม่เกิน 1,600 องค์มีทั้งที่มีพลอย และมีทั้งที่ไม่มีพลอย (ที่ไม่มีพลอย 900 องค์ ที่มีพลอย 700 องค์)
    และมีการจัดสร้างชุดพิเศษขึ้นอีกชุดหนึ่งคือชุดพรายกุมารตะกรุดมหาปราบทองคำ(จัดสร้างทั้งหมด 28 องค์ โดยมีหลวงปู่คอยนั่งกำกับในการจัดทำตลอด ความแตกต่างของชุดมหาปราบที่ว่านี้คือด้านหลังจะฝังตะกรุดทองคำที่หลวงปู่จารย์และมีการใส่ตะปูฝาโลงเข้าไปเพื่อเพิ่มความอาถรรพ์และได้ทำการฝังพลอยรอบตะกรุดจำนวน 9 ชิ้นโดยที่หลวงปู่กดลายนิ้วมือใส่หลังตะกรุดทุกองค์
    หลังจากที่ได้ทำตะกรุดมหาปราบเรียบร้อยมีตะปูฝาโลงเหลือหลายตัวจึงได้กดพิมพ์ขึ้นมาแล้วเสียบตะปูฝาโลงใส่ด้านใต้องค์พระพร้อมประดับพลอยด้านหลังเพิ่ม 1 ชิ้น) และยังมีการปั้นมวลสารพรายกุมารเป็นลูกอมได้ 150 ลูก(ข้าพเจ้าทำเอง)

    ***จุดสังเกตุของมวลสารในการจัดทำครั้งแรกจะค่อนข้างฟูและเนื้อไม่แกร่ง
    ข้อแตกต่างของมวลสารคือ ว่าน กระเบื้องหลังคาโบสถ์หลวงพ่อพิบูลย์ หนังหน้าผากเสือเผา จะมีเฉพาะวาระที่จัดทำเข้ากองทุนฯลฯ***

    - วาระที่สอง เมื่อปี พ.ศ.2558 หลวงปู่ได้รวบรวมปัจจับเพื่อใช้ในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการคณะสงฆ์ภาค8 โดยมอบถวายไว้ในคราวนั้นจำนวน 1,000,000 บาท ตกมาปี พ.ศ.2559 ท่านมีดำริอยากหาทุนทรัพย์เข้าสมทบในกองทุนคณะสงฆ์ฯเพิ่มให้ถึง 5,000,000 บาท จึงได้มีการจัดสร้างขุนแผนพรายกุมารขึ้นมาอีกครั้ง(โดนท่านเน้นย้ำว่าท่านตั้งใจทำมากแบบสุดจิต สุดใจ) จำนวน 10,000 องค์ (มีการฝังพลอยทุกองค์และมีพิเศษฝังตะกรุดเงินที่มีการจารชื่อหลวงปู่กำกับไว้ข้างใน 1,000 องค์) โดยให้ร่วมทำบุญโดยการเช่าบูชาองค์ละ 1,000 บาทสำหรับองค์ปกติและเช่าบูชา 2,000 บาทสำหรับองค์ที่มีตะกรุดเงิน

    ** โดยการจัดสร้างในวาระที่สองนี้มีการเพิ่มมวลสารจากชุดแรกคือ มีการใส่ว่าน กระเบื้องหลังคาโบสถ์หลวงพ่อพิบูลย์และหนังหน้าผากเสือเผา(จุดสังเกตุจะเห็นเม็ดกระเบื้องหลังคาโบสถ์ชัดเจน **

    ปล.ขอให้ใช้ประวัติในส่วนนี้อ้างอิงพระขุนแผนพรายกุมารเพื่อป้องความสับสนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    ปล2.ลูกอมพรายกุมารมีแค่วาระแรกรอบเดียวมีแค่ 150 เพราะเมื่อยนั่งเลยทำแค่นั้น ในส่วนลูกอมที่หลวงปู่แจกหรือบูชาจากในตู้เป็นลูกอมรุ่น 1 ของวัดกับลูกอมอย่างอื่นๆ

    ปล3.องค์ไหนก็ดีหมดทุกองค์นั่นล่ะ

    ......

    ตำนานการจัดสร้างพระผงขุนแผนแบบโบราณที่เข้มขลัง และ ทรงฤทธานุภาพ

    โดยที่ ลป.ขาว ได้นำผงพรายจำนวน 9 ที่ มาทำการอธิษฐานจิตบอกกล่าว ดวงจิตทั้งหลายในผงพรายว่า

    "ดวงจิตดวงใดต้องการจะร่วมสร้างบุญใหญ่กับท่านก็ขอให้รวมตัวกันขึ้นมาเป็นกองพูล"

    ปรากฎว่ากองผงพรายได้กอตัวกันขึ้นมาเป็นทรงจอมปลวกที่สูงขึ้น ส่วนผงพรายที่ไม่ได้มารวมตัวกัน ลป.ขาว ท่านก็ได้นำไปกลับคืนที่เดิม ส่วนผงพรายที่กอตัวขึ้นมา ลป.ขาวได้นำมาเป็นมวลสารในการจัดสร้าง"พระผงขุนแผน 9 พราย" และเมื่อปั้มพระผงขุนแผนชุดนี้เสร็จ ก็ได้นำมาผึ่งลมให้แห้ง พระขุนแผนชุดดังกล่าวก็ได้แบ่งสีกันชัดเจน ครึ่งหนึ่งเป็นสีอ่อน อีกครึ่งหนึ่งเป็นสีเข้ม ทั้งที่มวลสารในชุดเดียวกัน

    ลป.ขาว ท่านบอกว่า สีอ่อนจะเป็นแนวบุ๋น ส่วน สีเข้มจะเป็นแนวบู๊
    ซึ่งบรรดาศิษย์ที่ได้ร่วมบุญเช่าบูชาไปต่างก็เกิดประสบการณ์มากมาย พุทธคุณเด่นในเรื่องโชคลาภ ทำมาค้าขายดีเป็นเลิศ
    จำนวนการจัดสร้าง 10,000 องค์ โดยที่ ลป.ขาว ได้แบ่งมาสร้างบุญใหญ่เพื่อหาปัจจัยเข้าร่วมกองทุนเพื่อสมทบทุน คณะสงฆ์ภาค 8(ด้านการศึกษา-ภัตตาหาร)
    Cr 33FD7116-8B99-467A-9DC5-E1F4BD4E07EC.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2019
  17. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    99B2894D-A130-4259-A97E-94DBFA7261CB.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง. วัดท่าซุง

    #ทำบุญหนักๆ


    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ อนันตริยกรรม คือกรรมที่หนักที่สุด ผมพอทราบแล้ว แต่ผมอยากทราบว่า ทำบุญที่ให้ผลหนักๆ มีบ้างไหมครับ?

    หลวงพ่อ : มีๆ #เอาหนักกี่ตันล่ะ ถวายของเป็นตันๆ ซิ หนักเท่านั้นแหละ #อย่างสร้างพระพุทธรูป ๘ ศอก หนัก ๒ ตัน ใช่ไหม (หัวเราะ)
    ความจริงบุญหนักๆ ก็มีหลายอย่าง อย่างที่ญาติโยมนำสังฆทานมาเป็นแถวๆ นี่บุญหนักที่สุด จอมหนักเลย
    "#ถวายทานแด่พระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้ง"
    เบารึ?

    ผู้ถาม : แล้วอย่างถวายแบบชุดเล็กๆ ล่ะครับ?

    หลวงพ่อ : นี่ฉันพูดถึงบุญนะ ไม่ใช่พูดถึงของ อานิสงส์ที่จะพึงได้ แม้แต่การถวายของ แม้เพียงนิดหน่อย
    อย่าง พระสารีบุตร ถวายผ้ากว้างคืบ ยาวคืบ แล้วข้าวหยิบมือหนึ่ง กับนิดหนึ่ง น้ำหน่อยหนึ่ง ถวายเป็นสังฆทานแก่พระสงฆ์
    แม่ที่อยู่เป็นเปรต เป็นนางฟ้าไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ นี่แหละบุญหนัก นี่จริงๆนะ "สังฆทาน" เป็นยอดอานิสงส์ในด้าน "อามิสทาน" ที่สูงไปกว่านี้อีกอย่าง คือ "วิหารทาน"
    และนอกจากนั้น #ถ้าจะเอาหนักอีกโดยไม่ต้องใช้วัตถุ คือ "อภัยทาน" กับ "ธรรมทาน" ๒ อย่างนี้ไม่ต้องใช้วัตถุ ความจริงอย่าง อาจารย์ยกทรง (เป็นผู้อ่านปัญหาที่ญาติโยมถามมา) ทำนี่ก็เป็นมหากุศลนะ บุญใหญ่มาก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ"
    การให้ธรรมเป็นทานชนะทานทุกอย่าง
    ถ้าเวลาตายนะ ก่อนจะตายหมาจะหอน

    ผู้ถาม : เอะ! ทำไมอย่างนั้นล่ะครับ?

    หลวงพ่อ : (หัวเราะ) เพราะอะไรรู้ไหม เทวดามารับมาก เพราะ "ธรรมทาน" องค์ต้น "ท่านโฆษกเทพบุตร" ท่านเคยทำไว้ไงล่ะ

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    ________
    จาก "ธัมมวิโมกข์" ฉบับที่ ๔๓๘ เดือนกันยายน ๒๕๖๐ หน้า ๘๓ - ๘๔
     
  18. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    5C872C4F-170D-4360-A953-87ED598B096A.jpeg

    #เล่าเรื่องดีๆ หลวงปู่บุญส่ง

    หลวงปู่บุญส่งท่านสร้างอุโบสถหลังนี้โดยที่ไม่เคยติดหนี้เลย ท่านปรารภว่า ถ้าเงินหมดเมื่อไร เราก็หยุด
    สร้างเพราะไม่อยากเป็นหนี้ เวลาท่านไปเทศน์ที่ไหน เวลามีคนมาทำบุญถวายท่าน ท่านมักจะบอกญาติโยมว่า ขอให้โยมสบายใจได้นะ เงินที่ทำบุญสร้างอุโบสถ อาตมาก็นำไปสร้่างอุโบสถอย่างเดียว ว่างๆก็ไปที่วัดบ้าง ไปดูอุโบสถว่าคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ไปตรวจตราดูเงินที่เราทำบุญกันด้วยนะ
    .
    อาตมาสร้างอุโบสถหลังนี้ยังไม่เคยเป็นหนี้เลยนะ เพราะถ้าเงินหมดจริงๆก็จะหยุดสร้าง จะไม่ยอมเป็นหนี้ บางทีเงินในบัญชีจะหมดๆ อาตมาก็หยิบบัญชีมาและแหงนเงยหน้ามองฟ้า และบอกว่า... เงินจะหมดแล้วนะ ถ้าหมด... เราหยุดสร้างนะ (ท่านว่าบอกคนข้างบน) ยังไงก็ขอให้โยมสบายใจ "อาตมาไม่เคยเป็นหนี้ โยมทำบุญกับพระไม่มีหนี้ ใครที่ไม่มีหนี้ก็จะรวยเร็ว ส่วนใครที่มีหนี้ก็จะหมดหนี้เร็ว".... อมตะวาจาหลวงปู่บุญส่ง วัดสันติวนาราม จ.จันทบุรี

    116538DA-7905-4A57-B60E-FE4108A9C9C4.jpeg
    D809D9DD-EAC0-4A1D-BA43-21DA4FE6A2DD.jpeg
     
  19. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    #บอกข่าวบุญ
    "ขอเรียนเชิญ...ร่วมสร้างบุษบก...ถวายฯ"


    บุษบก...ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และ พระอรหันตธาตุ ภายในมหาอุโบสถ วัดสันติวนาราม อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี

    อานิสงส์...การสร้างบุษบกถวายฯ

    ๑. เมื่อตายไปจากความเป็นมนุษย์ จะไปบังเกิดเป็นเทพเทวาหรือพรหม จะมีรัศมีกายสว่างไสว

    ๒. หากไปอุบัติเป็นเทพเทวา จะมีวิมานแก้วเจ็ดประการ เก้าประการ

    ๓. หากไปอุบัติเป็นเทพเทวา จะมีบริวารมากมาย

    ๔. หากไปอุบัติเป็นพรหม เนื่องจากพรหม จะวัดบารมีความสว่างไสวของรัศมีกาย ด้วยอานิสงส์จากการสร้างบุษบกถวายนี้ จะทำให้มีรัศมีกายสว่างไสว กว่าพรหมองค์อื่นๆ

    ๕. จะมีอาสนะรองรับเป็นแก้วเก้าประการ ด้วยอานิสงส์จากการถวายพานรองรับพระบรมฯ และพระอรหันตธาตุ

    ๖. เมื่ออุบัติเป็นมนุษย์ จะพบพระพุทธศาสนาทุกๆ ชาติไป

    ๗. เมื่ออุบัติเป็นมนุษย์ จะมีลักษณะรูปร่างหน้าตาสวยงดงาม

    ๘. เป็นผู้มีปัญญาดี เข้าถึงธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โดยง่ายฉับพลัน และเข้าถึงพระนิพพานได้โดยง่าย

    ๙. เป็นผู้มีทรัพย์มาก มีชื่อเสียง และมีอายุยืนยาวตามอายุขัย

    ๑๐. ผลบุญแห่งการสร้างบุษบกถวาย หากมีบุคคลใดเข้าไปนมัสการ บุคคลผู้ที่สร้างถวาย จักได้บุญเพิ่มพูนขึ้น

    ร่วมสร้างบุษบก...ได้ที่บัญชี

    หลวงปู่บุญส่ง ฐิตสาโร
    ธนาคารกรุงเทพ 440-0-35641-8
    ธนาคารกรุงไทย 237-0-22734-6
    PromptPay ธนาคารกรุงเทพ 061-4241460

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. kwich

    kwich เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +6,855
    93EE9B88-A900-49C6-AC5D-7EE00AD8CCE7.jpeg 813C9E2C-2955-440B-BF53-897385E09406.jpeg

    #เล่าสู่กันฟัง

    เคยมีลูกศิษย์กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า

    “หลวงปู่ลงอะไรไว้ในวัตถุมงคล ทำไมถึงได้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก”


    ท่านเมตตาตอบกับเขาว่า...

    “ลงด้วยหัวใจพระพุทธเจ้า”

    ลูกศิษย์กราบเรียนถามต่ออีกว่า

    “อะไรคือหัวใจพระพุทธเจ้าครับ”

    หลวงปู่ท่านยิ้มและเมตตาตอบว่า

    “ทำความดี ละเว้นความชั่ว...”
     

แชร์หน้านี้

Loading...