เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่นับถือพระผู้สร้าง

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Army56, 1 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729

    ตกลงท่านเชื่อเรื่องกรรม แต่ไม่เชื่อเรื่อง เทวดา นรก สวรรค์ ท่านมีความเชื่ออย่างไรกัน

    งานวิจัยการเวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ จะเป็นสิ่งที่ล้มล้างพระคำภีร์มิใช่หรือ ก็พระเจ้าท่านตรัสไว้ว่ามนุษย์ที่ตายแล้ว ก็รอวันพิพากษามิใช่หรือ
     
  2. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    [​IMG]

    ขอโทษนะครับ ...

    ผมจะไม่พูดว่าพระผู้สร้าง หรือพระเจ้า มีจริงหรือไม่... เพราะผมก็พิสูจน์ให้ใครรู้ไม่ได้

    แต่ อย่าใช้คำนิยามว่าพระผู้สร้าง จะเป็นแบบที่ ศาสนาคริสต์กล่าว... หรืออย่าอ้างอิงจากไบเบิล... หรือคัมภีร์ใดๆ เพราะคัมภีร์ทั้งหมดทั้งหมด พระผู้สร้างไม่เคยเขียนขึ้น มีแต่มนุษย์เขียนขึ้นเองทั้งนั้น

    เพราะตามที่โดนตำหนิมากมาย พระผู้สร้างไม่สมควรจะเป็นพระเจ้าในทุกแง่ทุกมุม หากท่านเล่นบทบาทตามที่ศาสนาคริสต์กล่าวถึง

    "พระเจ้าลงโทษ พระเจ้าทรงพิโรธ" แต่ ขณะเดียวกันกลับกล่าวว่า "พระเจ้าเป็นองค์แห่งความรัก" .... หากท่านก็มีความโกรธ ท่านจะต่างอะไรกับมนุษย์ที่มีกิเลสเล่า... แต่ด้วยความไม่เข้าใจเรื่อง "กรรม" ฉะนั้น ทุกอย่างจึงโยนให้ "พระประสงค์ของพระเจ้า" หรือไม่ก็ "ซาตาน"...

    เคยคิดบ้างหรือไม่ ว่า เพราะพระผู้สร้างไม่ได้สร้างอะไรเลยต่างหาก ... ทุกอย่างมันมีของมันอยู่อย่างนั้นอย่างเป็นนิรันดร์... เหมือนวงกลมวงหนึ่งที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีจุดเริ่มต้น ณ ที่ไหน... ใครยืนยันว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่ง...ถ้าท่านสร้างก็คงเป็นผู้สร้างที่สร้างได้แย่มาก เหมือนกับที่ท่านทั้งหลายว่ากัน

    พระผู้สร้าง เป็นพระบิดา หรือเป็น "พ่อ" ของจิตวิญญาณทั้งหมด... พ่อจะส่งให้ลูกมาเกิดแต่ละคนเพียงชาติเดียว และแต่ละคนต่างกันในทั้งฐานะ สุขภาพ หน้าตา คุณสมบัติ ฯลฯ มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ... ท่านเป็นพระเจ้า เป็นพ่อ จะสร้างลูกแต่ละคนให้เกิดมาพิการเชียวหรือ... แต่เพราะท่านไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ต่างหาก ด้วยความขาดความเข้าใจเรื่อง "กรรม" ความจริงจึงถูกบิดเบือน

    อย่าบอกว่า ไบเบิล ไม่มีการกล่าวถึงการกลับชาติมาเกิด เพราะ ปัจจุบัน ฝรั่งส่วนหนึ่งกำลังพยายามยืนยันว่า ไบเบิล (ที่ถูกดัดแปลงบิดเบือน ณ ปัจจุบัน) ก็กล่าวถึงการกลับชาติมาเกิดเช่นกัน แต่ไม่ได้ใช้คำว่า Reincarnation ... ต้องเข้าใจประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ ว่า สมัยที่เกิดการทำสงครามเพื่อพระเจ้า... หากศาสนจักรทำให้นักรบเชื่อได้ว่า ทุกคนเกิดชาติเดียว และการตายเพื่อพระเจ้าในสงครามจะได้ไปสวรรค์ นักรบทุกคนจะมีความหาญกล้ามากมายเพียงใด...

    แต่ปัจจุบัน ก็เห็นแล้วมิใช่รึ หลักฐานมากมายของฝรั่งเองนั่นแหละ ที่พิสูจน์ว่า มีการกลับชาติมาเกิดอย่างแน่แท้ และที่น่าแปลก ไม่ว่าจะย้อนกี่คน กี่ชาติ ทุกคนชาติก่อนเป็น "มนุษย์"
     
  3. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    สวรรค์และนรก
    สถานที่ทั้ง 2 แห่งนี้ มีใครได้เดินทางไปเห็นจริงๆกับตาหรือไม่
    ทั้ง 2 แห่ง ถ้ามีจริง มนุษย์ก็สามารถเดินทางไปได้

    สิ่งที่ตามองไม่เห็นนั้น มันไม่มีจริงๆหรือ ท่านเคยเห็นพระผู้สร้างด้วยตา..หรือ ท่านไม่เคยเห็นแล้วท่านเชื่อได้อย่างไรว่าพระองค์มีจริง

    สวรรค์และนรก ก็มาจากความคิดคำนึง ความคาดการณ์เดาเอาของพระพุทธเจ้าว่า มีเป็นสถานที่

    พระผู้สร้างของท่านไม่ได้มาจากความคิดคำนึงของท่านเองหรอกหรือ

    พระผู้สร้าง เท่าที่เห็น เท่าที่ผ่านมา สร้างจริง เห็นได้จริง ทำได้จริง ไม่เคยคาดเดา

    มีอะไรบ้างอะจำไม่ได้อ่า

    พระพุทธเจ้า มักสร้างแต่ความเชื่อ ซึ่งไม่มีจริง เช่น เทวดา นางฟ้า เป็นต้น

    อันนี้ผมก็ยังไม่ได้เชื่อ แต่ก็ไม่ตัดสินว่าจริงหรือไม่
     
  4. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729

    :cool: แบบนี้พอคุยกันได้
     
  5. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    พูดอย่างเป็นกลาง วางศาสนาของท่าน...นึกถึงประวัติศาสตร์ของพระเยซูเจ้า

    ขณะถูกตรึงกางเขน พระองค์ตรัสว่า "พระบิดาเจ้าข้า เหตุใดพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า"

    ก่อนถูกตรึงกางเขนในสวนมะกอก ก่อนจะถูกจับ พระองค์ตรัสกับพระบิดาในสวนนั้น...

    พระผู้เป็นเจ้า จำเป็นด้วยเหตุใด ที่ต้องได้รับการล้างบาปจาก น.จอห์น บัปติส ที่แม่น้ำ (ซึ่งเป็นมนุษย์คนหนึ่ง)....

    เอาแค่นี้ ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า พระเยซูเจ้า เป็น "พระบุตรของพระเจ้า" นั่นไม่ผิด เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง ทุกคนก็เป็นบุตรของพระเจ้าเช่นกัน...

    แต่ถ้าพระองค์เป็นพระเจ้าเอง... พระองค์กำลังสนทนากับใครเล่า...
     
  6. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    แจ่มครับ...

    พระพุทธองค์ไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า

    แต่เพราะ พระพุทธองค์เห็นว่า แค่การเข้าถึงตัวเองภายในก็ยากเหลือเกินแล้ว
    หากเข้าถึงตัวตนภายในไม่ได้ ก็อย่าแม้แต่ฝันถึงการสัมผัสพระเจ้า ...
     
  7. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    หนังสือ Conversation with GOD สุดยอดมากนะครับ
    ไม่รู้หรอกว่าเค้าคุยกับใคร แต่งมายังไง แต่ถ้าพระเจ้ามีจริง ท่านจะเป็นอย่างในหนังสือนั้นแหละ

    สิ่งหนึ่งที่ท่านบอกคือ "ฉันไม่ได้บอกหรอกนะ ว่าไบเบิล เป็นแหล่งที่ฉันจะรับรอง" (ท่านพูดประมาณนี้) ...

    พระเจ้าในหนังสือเล่มนี้เป็นกลางมากๆ ไม่ได้เป็นของศาสนาคริสต์ หรือศาสนาใดๆ ... เพราะถ้าพระเจ้ามีจริง เป็นพระบิดาของมนุษย์ทั้งมวลจริง ท่านต้องไม่มีศาสนา... แต่ศาสนาเองนั่นแหละ ไปดึงท่านเข้ามาเป็นของตน

    เป็น "อัตตา" ที่ยิ่งใหญ่มาก ที่ผู้ฝักใฝ่ศาสนาทั้งหลายต่างมองว่า "ศาสนา-ความเชื่อของฉันถูกต้อง" ... จนกระทั่งสามารถทำ "สงครามเพื่อพระเจ้า" และ ฆ่าล้างมนุษย์อื่นๆ ที่ต่างความเชื่อ... ไร้สาระสิ้นดี... ถามพระเจ้ารึยังว่าท่านประสงค์สงครามรึ???
     
  8. ratercracker

    ratercracker เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +729
    นี้ก็ :cool:
     
  9. Army56

    Army56 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,098
    ค่าพลัง:
    +1,862
    เป็นการคุยที่ได้เหตุและผล

    ขอบคุณทุกความรู้

    ที่ไร้ซึ่งอคติ
     
  10. กังหันลม

    กังหันลม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    402
    ค่าพลัง:
    +693
    ผมไม่ทราบนะครับว่าท่านนับถือใครหรือเชื่อคำสั่งสอนของใคร แต่การมาบอกว่าศาสดาที่ผมและบรรพบุรุษรวมทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลายเคารพ และยอมรับนั้นพูดไม่จริงมันคงไม่เป็นการดีแน่
    แล้วหากการกินเนื้อสัตว์มันทำให้ต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย คนที่ไม่กินเนื้อผมก็เห็นตายกันทุกคนไม่รอดซักราย คนที่ว่าตัวเองกินเนื้อพวกนี้ก็เป็นเสือ คนที่คิดว่าาตัวเองกินแต่ผักแต่หญ้าก็เป็น.... เพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าสิ่งเหล่านี้คือธาตุตามธรรมชาติ
    อีกอย่างคนที่สอนไม่ให้คนอื่นโกหกท่านคงไม่โกหกองหรอกเพราะท่านสอนว่า เป็นผู้พูดแต่คำจริง ธำรงไว้ซึ่งความจริง ไม่เป็นคนลวงโลก แม้แต่คำที่คนอื่นยกย่องท่านเกินไปท่านยังคัดค้าน แต่สิ่งที่มนุษย์หูหนวกตาบอดมองไม่เห็นพระองค์และพระอริยเจ้าทั้งหลายทรงเห็น ราจะไปคัดค้านท่านมันคงไม่สมควร เหมือนตาบอดคลำช้าง ตัวเองไม่รู้แต่ไปคัดค้านคนที่เขาเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ขออภัยหากดูก้าวร้าว แต่ทัศนะของผมมีเช่นนี้:mad::mad::mad::mad:
     
  11. โดเรม้อน

    โดเรม้อน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    848
    ค่าพลัง:
    +75
    คุณคิดอย่างนี้ทำไม....กล่าวตู่พุทธพจน์ จะไปจากจักรวาลของผู้สร้างคุณจะไปใหน แล้วคุณรู้ใหมใครคิดคำว่าพระพุทธเจ้า เลิกก่นด่าพ่อแม่ได้ใหม คุณออกมาจากกอไผ่ หรือหอยสังหรือใง คุณถึงได้ไม่เข้าใจสาระธรรมอย่างนี้ ถ้าพ่อไม่แต่งงานกับแม่ คุณจะได้เกิดใหม คุณไปบวชไป โกนหัวโล้นอุ้มบาท คุณจะได้รู้ว่าแม่อุ้มท้อง 9 เดือนนะมันทุกแค่ใหน แล้วไม่มีพ่อคุณเกิดเองได้เหรอ มีอิสระแต่ไม่ได้ให้คุณด่าพ่อผู้สร้างนะ คุณธรรมที่คุณมีอยู่คุณคิดว่าคุณจะดูแลคุณได้เหรอ ต่อต้านก็หนีลงไปสู่นรก ยกย่อง ก็ไม่ว่าอะไร พระพุทธองค์เคยกล่าวหาใครใหม คุณเป็นใคร มาตู่พระองค์ว่าพูดอย่างนั้นอย่างนี้ คุณรีบแก้กระทู้เลยนะ ก่อนที่เบื้องบนจะมาหาคุณแล้วคุณอาจะลงนรกนะ ขอพระเจ้าโปรดคุ้มครองผู้ที่เป็นคนบาปด้วยเถอะ ขอเทพเทวดาจงอภัยแก่มนุษย์ผู้นี้ด้วยเทอญ อาเมน สาธุเด้อ พระพุทธองค์ทุกพระองค์เคารพธรรม พ่อผู้สร้างนะ มาอยู่ในบ้านเขาด้วยความสมัครใจแต่ด่าวิศวะกรถูกที่ใหนอยู่ก็ทำประโยชน้อยคอยถ่วงเอาเท้าราน้ำ บอกให้ลบแล้วยังพลอยให้คนอื่นบาปต่ออีก
    ไปศึกษาศาสนาพราม พุทธ คริส อิสลามและหาศาสโนปมศาสตร์และข้อแปลกย่อยแล้วค้นให้พบใครสร้างมนุษย์และสร้างคุณแล้วจะพูดไม่ออก เอ่อ ด่าพ่อตัวเองก็เป็น ด่าแม่ตัวเองก็เป็น คน หนอคนเมื่อไหร่จะเป็นมนุษย์นะ หรือเป็นแค่ ฅน น่าจะดีนะ
     
  12. กสิน9

    กสิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +270
    พระผู้สร้างก็คือกิเลสแห่งมารนั่นแล
     
  13. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ไม่เชื่อ
    เพราะไม่ได้ยินพระถตาคตตรัสเอง
    ถ้าไม่มีพระผู้สร้างก็ไม่มีเรา ถ้ามีพระผู้สร้างก็มีเรา

    ชนเหล่าใดที่ยังมีทิถิอหังการกับพระผู้สร้างผู้ป็นดั่งบิดาทั้งหลายนั้น
    ความเจริญเริ่มหายไปจากตัวเองเกิดความหม่นหมองใจเพราะความคิดไม่ดีของตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2011
  14. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    แล้วใครสร้างพระเจ้ามาบ่ะครับคุณ
     
  15. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    ขอโทษทีพิมพ์ตก เรื่องมันยาวมากไว้โอกาสหน้านะขอรับ
     
  16. นายเบทร์

    นายเบทร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    882
    ค่าพลัง:
    +91
    ครับผม.....................................
     
  17. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    วัฏสงสารที่ไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลาย

    ปัญหา เราอาจจะทราบได้ไหมว่า เราเริ่มเกิดขึ้นในวัฏสงสารเมื่อใดและจะสิ้นสุดลงเมื่อใด ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้น เบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ
    “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า บุรุษตัวทอนหญ้าไม้ กิ่งไม้ใบไม้ ในชมพูทวีปนี้ แล้วจึงรวมกันไว้ ครั้นแล้ว พึงกระทำให้เป็นมัดมัดละ ๔ นิ้ว วางไว้ สมมติว่านี้เป็นมารดาของเรา นี้เป็นมารดาของมารดาของเราโดยลำดับ มารดาของมารดาแห่งบุรุษนั้น ไม่พึงสิ้นสุด ส่วนว่าหญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ในชมพูทวีปนี้ พึงถึงการหมดสิ้นไปข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ พวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฏพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้”
    ติณกัฏฐสูตร นิ. สํ. (๔๒๑-๔๒๒)
    ตบ. ๑๖ : ๒๑๒ ตท. ๑๖ : ๑๙๙
    ตอ. K.S. II : ๑๑๘-๑๑๙
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    วิญญาณอมตะมีหรือไม่

    ปัญหา ชาวพุทธบางคนเชื่อว่า วิญญาณเป็นอมตภาพ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักตาย ความเชื่อเช่นนั้นถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาหรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณย่อมเกิดมีขึ้นเพราะอาศัยธรรมเป็นคู่กัน จักขุวิญญาณย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยตาและรูป โสตวิญญาณย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยหูและเสียง ฆานวิญญาณย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ชิวหาวิญญาณย่อมเกิดขึ้นเพราะลิ้นและรส กายวิญญาณย่อมเกิดมีขึ้นเพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ มโนวิญญาณย่อมเกิดมีขึ้นเพราะอาศัยใจและธรรมารมณ์ ตา... หู... จมูก... ลิ้น... กาย... ใจ...ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนมีความเป็นอื่นไปรูป... เสียง... กลิ่น... รส... โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณ์ ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนมีความเป็นอย่างอื่นไป จักขุวิญญาณ... โสตวิญญาณ... ฆานวิญญาณ.... ชิวหาวิญญาณ... กายวิญญาณ... มโนวิญญาณ..ที่เกิดเพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จักเป็นของเที่ยงได้แต่ที่ไหน ?
    “ดูก่อนภิกษุทั่งหลาย บุคคลถูกกระทบแล้วจึงเสวยเวทนา ถูกกระทบแล้วจึงคิด ถูกกระทบแล้วจึงจำได้หมายรู้ แม้ธรรมเหล่านี้ก็เคลื่อนไหว เสื่อมสิ้นไม่เที่ยงแปรปรวน...”

    ทวยสูตร ที่ ๒ สฬา. สํ. (๑๒๔-๑๒๗)
    ตบ. ๑๘ : ๘๕-๘๗ ตท. ๑๘ : ๗๓-๗๕
    ตอ. K.S. ๔ : ๓๙-๔๐
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    เทพเจ้าอมตะมีหรือไม่

    ปัญหา ศาสนาบางศาสนาเชื่อว่ามีเทวดาที่มีอมตะเที่ยงแท้ แน่นอน ในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนามีทัศนะอย่างไร ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พญาสีหมฤคราชออกจากที่อาศัยในเวลาเย็นแล้วเหยียดกาย แล้วเหลียวแลดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วบันลือสีหนาท ๔ ครั้งแล้วออกเดินไปเพื่อหากิน.... พวกสัตว์ดิรัจฉานทุกหมู่เหล่าได้ยินเสียงพญาสีหมฤคราชบันลือสีหนาท อยู่ โดยมากย่อมถึงความกลัว... พญาสีหมฤคราชมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายเช่นนี้แล
    “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อพระตถาคตอรหัตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกพระองค์ทรงแสดงธรรมว่า รูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นดังนี้ เหตุเกิดขึ้นแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นดังนี้ ความดับแห่งรูป... เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เป็นดังนี้ แม้เทวดาทั้งหลายที่มีอายุยืน มีวรรณะมากด้วยความสุข ซึ่งดำรงอยู่ได้นานในวิมานสูง ได้สดับธรรมเทศนาของพระตถาคตแล้ว โดยมากต่างก็ถึงความกลัว ความสังเวช ความสะดุ้ง ว่าผู้เจริญทั้งหลายได้ยินว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง แต่เข้าใจว่าแน่นอน... ได้ยินว่า ถึงพวกเราก็เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่แน่นอน ติดยู่ในกายตน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมีฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งใหญ่กว่าโลก กับเทวโลกเช่นนี้แล”
    สีหสูตร ขันธ. สํ. (๑๕๕, ๑๕๖)
    ตบ. ๑๗ : ๑๐๓-๑๑๔ ตท. ๑๗ : ๙๓-๙๔
    ตอ. K.S. ๓ : ๗๐-๗๑
     
  20. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงมีทัศนะอย่างไรเกี่ยวกับ “ความมีอยู่” และ ความไม่มีอยู่” อันเป็นปัญหาทางปรัชญาที่ลึกซึ้ง ?

    พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนกัจจานะ ชาวโลกโดยมากติดอยู่ในทวินิยม ยึดถือความมีอยู่ ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดขึ้นแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ความไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีเมื่อบุคคลเห็นความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง ความมีในโลกย่อมไม่มี ชาวโลกส่วนมากยึดมั่นถือมั่นในระบบและลัทธิต่าง ๆ แต่อริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งการยึดถือในระบบ ซึ่งอนุสัยคือจุดยืน และลัทธิว่า “นั่นคืออัตตาของเรา” ย่อมไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ในข้อที่ว่า “ทุกข์เหล่านั้นเมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อจะดับไปย่อมดับไป” อริยสาวกย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย
    “ดูก่อนกัจจานะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล จึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ ดูก่อนกัจจานะ มีความเห็นสุดโต่งอยู่ ๒ อย่าง คือ ความเห็นสุดต่างอันหนึ่งที่ว่า “สิ่งทั้งปวงมีอยู่” และความเห็นสุดโต่งที่สองว่า “สิ่งทั้งปวงย่อมไม่มี” ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกาลง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวล นี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยสิ้นราคะโดยไม่มีอะไรเหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้....”
    ฉันนสูตร ขันธ. สํ. (๒๓๔)
    ตบ. ๑๗ : ๑๖๕ ตท. ๑๗ : ๑๔๓-๑๔๔
    ตอ. K.S. ๓ : ๑๑๓-๑๑๔
     

แชร์หน้านี้

Loading...