โลกียสมาธิไม่จำเป็นต่อการบรรลุธรรม

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ท่ามกลาง, 12 มีนาคม 2012.

  1. ท่ามกลาง

    ท่ามกลาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +27
    ชาวพุทธในปัจจุบัน เชื่อว่านิพพานเป็นของสูงส่ง ห่างไกล บ้างก็เลยศึกษาพุทธศาสนาแบบรู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม บ้างก็"ทำ"(โลกีย)สมาธิเพราะคิดว่าจะได้ใช้เป็นบาทฐานสำหรับมรรคผลนิพพาน แม้ไม่บรรลุธรรมในชาตินี้ ก็คงจะทำ(โลกีย)สมาธิได้ง่ายในชาติต่อๆไป บางรายที่ทำสมาธิไม่ได้ก็เลยเอาแต่ทำบุญและอธิษฐานขอมรรคผลนิพพานในอนาคตข้างหน้า

    แต่ความเป็นจริงแล้ว นิพพานนั้นอยู่ต่อหน้าต่อตาอยู่แล้ว เพียงไม่เจริญตัณหา ไม่ดิ้นรนตามความอยาก ก็พ้นทุกข์เดี๋ยวนั้น ตรงต่อนิพพานเดี๋ยวนั้น หลุดพ้นในปัจจุบันขณะเลย เพียงแต่ยังไม่หมดเชื้อ(ตัณหา อุปาทาน) โมหะจึงกลับมาครอบใหม่ ก็จงเพียรละตัณหา ปลงสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่นั้นอีก เพียงแค่ไม่ไปสร้างเหตุใหม่เพิ่ม(เจริญตัณหา ตอกย้ำกรรมอนุสัย) ผล(วิบากทางจิต กรรมอนุสัยต่างๆ)ก็จะค่อยๆ ลดลงไปเอง

    เรื่องนี้ท่านพุทธทาสได้อธิบายไว้ในนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ ซึ่งท่านก็ได้บอกไว้เองดังนี้
    เอ้า, ทีนี้ก็มาพูดถึง ที่ว่า นิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ กันดีกว่า:
    เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ผมถูกด่า จนไม่รู้ว่าจะด่าอย่างไรแล้ว
    ว่าเอาพระนิพพาน มาทำให้สำเร็จประโยชน์ที่นี่และเดี๋ยวนี้. ในเมื่อ
    เขาต้องการ ให้ตายแล้วเกิด, ตายแล้วเกิด, ตายแล้วเกิด, ร้อยชาติ
    พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ แล้วจึงจะนิพพาน. แล้วเรามาทำให้
    เป็นว่า ที่นี่และเดี๋ยวนี้ก็มีนิพพาน เขาก็โกรธ ไม่รู้ว่ามันจะไปขัด
    ประโยชน์ ของเขาหรืออย่างไร ก็ไม่ทราบ


    เนื่องจากชาวพุทธในปัจจุบันนั้นไม่เข้าใจและจะมัวยึดความเห็น(ทิฏฐิ)ของตนเป็นหลัก ไม่ยอมแม้แต่จะลองพิสูจน์ด้วยตนเองเสียก่อน แม้ทราบว่าถ้าเอามาชี้ประเด็นก็คงได้ผลตอบรับแบบนี้ แต่จะไม่บอกก็ไม่ได้เพราะพากันปฏิบัติกันผิดทางเอาเลย ตรงกันข้ามกับคำสอนขององค์พุทธะอย่างสิ้นเชิง

    แม้จะอ่านพุทธวัจนแล้วก็ยังตีความไปแบบผิดๆ ตามความอยากของตนอยู่ดี (ลองอ่าน เสาเขื่อนที่ไม่ใช่เสาเขื่อน และจงมีสติสัมปชัญญะแบบพอดี)

    เจริญพร
    พระต่อศักดิ์ วชิรญาโณ
    วัดร่มโพธิธรรม ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย 42190
    www.rombodhidharma.com
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2012
  2. ท่ามกลาง

    ท่ามกลาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +27
    [FONT=&quot]ถ้าค้นในพุทธวัจนจะพบว่ามรรควิธีทีพระพุทธเจ้าทรงสอนบ่อยที่สุด คือ “ละนันทิ” คือ ละความเพลิดเพลินยินดีในอุปาทานขันธ์ห้า เมื่ออ่านแล้ว ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยกลับไปพยายามเฝ้ารู้ เพื่อคอยละอารมณ์ สภาวะธรรมที่ผ่านเข้ามา แต่ความเป็นจริงแล้ว การกระทำดังกล่าวถือว่าตรงกันข้ามกับสิ่งที่องค์พุทธะทรงสอน เพราะเป็นการเอากายและจิตมาเป็นภาระ ต้องคอยประคองระวังรักษาจิตอยู่ตลอด

    อาจพบคำว่า "ละ" ในหลายๆ พระสูตร คำนี้มีความหมายว่า สละ หรือปล่อยวาง(=ไม่แบก ไม่เอามาเป็นภาระ ไม่ใส่ใจ) แต่ชาวพุทธกลับไปแปลว่า ต้องกำจัด หรือต้องไม่มี
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ทางที่ถูกต้อง คือ กายและจิตจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เพราะการปล่อยวาง ก็คือ การไม่ต้องไปยุ่งกับมัน การไม่มีตัวตนไปข้องเกี่ยว เป็นการยอมรับในกฏไตรลักษณ์ ยอมรับในความไม่เที่ยง(อนิจจัง) ของทุกสรรพสิ่ง ลดความยึดติดในกายและจิต(ว่าเป็นเรา เป็นของเรา) และไม่ควรไปเจตนารู้ อยากรู้ เพราะจัดเป็นตัณหา เป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นภาระทางจิต ซึ่งเมื่อไม่เน้นรู้ไม่เฝ้ารู้แล้ว ก็เป็นการลดตัวรับรู้ผัสสะ ลดตัวเข้าไปกระทบ เป็นการตัดต้นขั้วแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างแท้จริง (อ่านเพิ่มเติมในการละอวิชชาโดยตรง) เมื่อประพฤติชอบแล้วกิเลสทั้งหลายจะค่อยๆ ลดลงไปตามที่ได้อธิบายไว้แล้วในสังโยชน์สิบ[/FONT]
    [FONT=&quot]
    [/FONT]เจริญพร
    พระต่อศักดิ์ วชิรญาโณ
    วัดร่มโพธิธรรม ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย 42190
    www.rombodhidharma.com
     
  3. ท่ามกลาง

    ท่ามกลาง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +27
    [FONT=&quot]เมื่อปล่อยวาง ไม่ดิ้นรนตามตัณหา ก็จะหลุดพ้นในปัจจุบันเดี๋ยวนั้นเลย หากตายไปตอนนั้น ถ้าไม่นิพพานก็จะไปสุขคติภูมิ เพราะตายขณะจิตสว่าง ความจริงแล้ว ผู้ที่ปล่อยวางจะไม่ไปยึดจิตหยาบที่พาไปสู่ภพภูมิต่ำๆ อยู่แล้ว (เรียกว่า มีศีลระดับจิต) ภูมินรก อบายภูมิจะค่อยๆ ถูกปิดไปก่อนเอง เมื่อปล่อยวางไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ยึดแม้แต่สุขคติภูมิ (อ่านเพิ่มเติมในการศึกษากรรมและภพภูมิที่ถูกต้อง)[/FONT]

    [FONT=&quot]ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ดิ้นรนตามตัณหา คอยปรับจิตคอยกระทำจิตหลีกหนีผัสสะ เมื่อตอนใกล้ตายหากเกิดมีเวทนาทางกาย แล้วไม่สามารถนอกเหนือ(ปล่อยวาง) เวทนาทางกายได้ ก็จะเกิดความดิ้นรนทางจิต เกิดเวทนาทางจิต จิตจะเป็นอกุศล ซึ่งจะชักพาอกุศลกรรมในอดีตมาให้นึกถึง แทบจะไม่มีโอกาสคิดถึงกุศลกรรมเลย หากตายไปตอนนั้น และปล่อยวางอกุศลวิตกไม่ได้ ก็มีทุคติเป็นที่หมาย[/FONT]

    [FONT=&quot]ดังนั้นแทนที่จะไปฝึกโลกียสมาธิ หรือสติสมถะ ก็ควรหันมาปล่อยวาง ไม่ดิ้นรนตามตัณหา เลิกแบกธาตุขันธ์จะดีกว่า เป็นการตัดกรรม และตรงต่อนิพพานไปเรื่อยๆ แม้ไม่นิพพานชาตินี้ ก็จะพ้นทุกข์ในปัจจุบัน เป็นความสงบจากกิเลส ห่างไกลจากกิเลสจากทุกข์ไปเรื่อยๆ นะ[/FONT]

    [FONT=&quot]อย่าลืมว่าองค์พุทธะสอนศาสตร์แห่งการพ้นทุกข์ ถ้าปฏิบัติแล้วเคร่งเครียดกดข่ม ปฏิบัติแล้วอวดดีกว่าเดิม อัตตาตัวตนเพิ่มขึ้น ปฏิบัติแล้วไม่พ้นทุกข์ในปัจจุบัน พ้นทุกข์ในชีวิตประจำวัน [/FONT][FONT=&quot]ปฏิบัติแล้วทุกข์กลับเพิ่ม ต้องแอบหาที่หลบเงียบๆ คนเดียว [/FONT][FONT=&quot]ก็ควรเอะใจได้แล้วนะว่าอาจจะมาผิดทาง
    [/FONT]
    เจริญพร
    พระต่อศักดิ์ วชิรญาโณ
    วัดร่มโพธิธรรม ต.หนองหิน อ.หนองหิน จ.เลย 42190
    www.rombodhidharma.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...